Last updated: 29 ก.ย. 2566 | 476 จำนวนผู้เข้าชม |
อีอีซี รวมพลังภาคีภาครัฐ-เอกชน หนุนใช้รถยนต์ไฟฟ้าขนส่งสาธารณะและรับส่งพนักงานในพื้นที่ คาดเกิดรถโดยสารไฟฟ้า 100 คันภายในปีนี้ วางเป้าหมาย 5 ปี เพิ่มเป็น 6,000 คัน จูงใจดึงลงทุนคลัสเตอร์ EV และ BCG สร้างการพัฒนาที่เป็นมิตรสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
วันที่ 28 ก.ย.2566 นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในระบบขนส่งสาธารณะ และรถรับ-ส่งพนักงานในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ร่วมกับ นายกิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ศาสตราจารย์ นพ.พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย นายวีระเดช เตชะไพบูลย์ นายกสมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (อาร์อี 100) และนายสุวิทย์ ธรณินทร์พานิช ประธานกรรมการมูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน เพื่อส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือภาครัฐและเอกชนในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีถ่ายทอดองค์ความรู้ ขับเคลื่อนการลงทุนและใช้ประโยชน์จากรถยนต์ไฟฟ้าในระบบขนส่งสาธารณะและรับส่งพนักงาน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาพื้นที่อีอีซีอย่างยั่งยืน ณ ห้อง Conference 1-2 สำนักงานอีอีซี
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการ อีอีซี กล่าวว่า การลงนามฯ ครั้งนี้ เป็นความร่วมมือสำคัญจากภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน เพื่อสนับสนุนการลงทุนในเศรษฐกิจ BCG ผลักดันให้เกิดการพัฒนาระบบนิเวศอุตสาหกรรม ดึงดูดการลงทุนนวัตกรรมใหม่ โดยเฉพาะในคลัสเตอร์อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในพื้นที่อีอีซี ซึ่งได้ตั้งเป้าหมายให้เป็นฐานการผลิต EV แห่งภูมิภาค ภายใต้กรอบข้อตกลงดังกล่าว จะส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าขนส่งสาธารณะและการรับ-ส่งพนักงานให้แพร่หลาย ประชาชนในพื้นที่ อีอีซี สามารถเข้าถึงบริการดังกล่าวได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ผลักดันให้เกิดการผลิต และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาด สอดคล้องกับเป้าหมายพัฒนาพื้นที่อีอีซีในภาพรวมให้เป็นพื้นที่ Net Zero Carbon Emission โดยต้องมีการนำแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียวมาสนับสนุนการผลิต สร้างการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเพื่อความยั่งยืน
ทั้งนี้ อีอีซี จะเชื่อมโยงความร่วมมือและพัฒนากลไกการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเป็นระบบ ทุกฝ่ายจะร่วมกันสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี การถ่ายทอดองค์ความรู้ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับ การติดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้าเพื่อรองรับ รวมถึงขยายผลสร้างมูลค่าเพิ่มโครงการฯ โดยอีอีซี จะร่วมขับเคลื่อนพัฒนาระบบนิเวศจูงใจให้เกิดการลงทุน เช่น เรื่องสิทธิประโยชน์รูปแบบภาษีและไม่ใช่ภาษี การอำนวยความสะดวกเพิ่มความรวดเร็วในการอนุมัติ อนุญาตที่อีอีซีสามารถออกใบอนุญาตแทนหน่วยงานต่างๆ ได้ถึง 44 ใบอนุญาต คาดว่าจะเริ่มได้ในมกราคม ปี 2567 ความร่วมมือครั้งนี้ นับเป็นกิจกรรมสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมายสำหรับคลัสเตอร์ EV และคลัสเตอร์ BCG (ในกลุ่มพลังงานสะอาด)
นายกิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) กล่าวว่า สอวช. ในฐานะหน่วยงานด้านนโยบาย อววน. (การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) สนับสนุนการพัฒนาและยกระดับความสามารถทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศ จะดำเนินการภายใต้ข้อตกลงฉบับนี้ เพื่อนำร่องให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เร่งให้เกิดการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนสำคัญให้มีคุณภาพ มาตรฐานความปลอดภัย และสร้างซัพพลายเชนในประเทศให้มีจำนวนมากขึ้น ตลอดจนการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยี การพัฒนาบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญ เมื่อความร่วมมือในพื้นที่อีอีซีนี้บรรลุเป้าหมายแล้ว จะสามารถถอดเป็นบทเรียนเพื่อขยายให้เกิดผลกระทบเชิงบวกในการพัฒนาประเทศ สอดคล้องกับการพัฒนาไปสู่เป้าหมายการผลิตและการใช้งานยานยนต์ไร้มลพิษ และเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทย
ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. จะเป็นหน่วยงานสนับสนุนด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า และการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า ให้กับผู้ประกอบการในพื้นที่อีอีซี เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาของประเทศ ซึ่งได้ดำเนินการวิจัยและพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ามาอย่างต่อเนื่อง จากการสั่งสมองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า เช่น การออกแบบแบตเตอรี่แพ็ค การออกแบบมอเตอร์ ระบบควบคุมพร้อมระบบขับเคลื่อน เทคโนโลยีการลดน้ำหนักตัวรถที่ยังคงความแข็งแรงของโครงสร้างและความปลอดภัย การวิเคราะห์ Vehicle dynamic การพัฒนาระบบ EV Charger การพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติ รวมถึงการให้บริการวิเคราะห์ทดสอบกับศูนย์ทดสอบผลิดตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC)
ทั้งนี้ สวทช. มีความพร้อมในการสนับสนุนการทดสอบเทคโนโลยีในเชิงพาณิชย์ โดยความร่วมมือในครั้งนี้ จะทำให้เกิดการนำเทคโนโลยีมาใช้จริง และยกระดับระบบขนส่งสาธารณะในพื้นที่อีอีซี รวมถึงส่งเสริมผู้ประกอบในการทดสอบมาตรฐาน ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญของ สวทช. ที่ต้องการสนับสนุนเทคโนโลยีตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำต่อไป
นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)กล่าวว่า ธนาคารฯ ได้กำหนดวิสัยทัศน์ปี 2570 ในการสนับสนุนและส่งเสริมนโยบายด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ อันส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย โดยตั้งเป้าหมายเป็นผู้นำขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การค้า และการลงทุนของไทยให้เติบโตในเวทีโลกอย่างยั่งยืน ธนาคารฯ ได้เห็นถึงความท้าทายและโอกาสของการลงทุนตามเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ที่ผ่านมา ได้มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินสนับสนุนการลงทุนในเศรษฐกิจสีเขียว เช่น EXIM Green Start เพื่อให้สอดคล้องตาม Thailand Taxonomy หรือ Exim Supply Chain Financing Solution เพื่อเสริมสภาพคล่อง SMEs ในเครือข่ายธุรกิจของผู้ประกอบการรายใหญ่ สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ จะสนับสนุนการเข้าถึงการบริการทางการเงินของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการประกอบธุรกิจ โดยธนาคารเห็นถึงโอกาสในการขยายตัวของอุตสาหกรรมดังกล่าวในอนาคต
นายสุวิทย์ ธรณินทร์พานิช ประธานกรรมการมูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน กล่าวว่า การลงนามฯ ครั้งนี้ จะเป็นโครงการนำร่องเพื่อเป็นต้นแบบการใช้รถโดยสารไฟฟ้า สำหรับขนส่งสาธารณะและรับ-ส่งพนักงานสำหรับประชาชน เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีในพื้นที่อีอีซี คาดว่าในปี 2566 นี้จะเกิดรถโดยสารไฟฟ้า อย่างน้อย 100 คัน พร้อมสถานีชาร์จ ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 5 พันตันต่อปี เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ และพัฒนาวัตถุดิบสินค้าในประเทศ (local content) เพิ่มขึ้นจาก 40% เป็น 60% สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในประเทศมากกว่า 360 ล้านบาท และมีเป้าหมายของโครงการ ฯ ในระยะ 5 ปี จะสามารถเพิ่มรถโดยสารไฟฟ้าได้ 6,000 คัน
อย่างไรก็ตามในภาพใหญ่ของทั้งประเทศ คาดว่าภายใน 2 ปี หากสามารถปรับเปลี่ยนมาใช้รถโดยสารไฟฟ้าได้ 10,000 คันทั้งประเทศ จะมีมูลค่าการลงทุนมากกว่า 60,000 ล้านบาท เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในประเทศมากกว่า 48,000 ล้านบาท ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ 5 แสนตันต่อปี
ที่มา : EEC
13 ต.ค. 2567