Last updated: 12 ส.ค. 2568 | 205 จำนวนผู้เข้าชม |
ประตูห้องหมายเลข 236 ถูกเปิดอย่างแผ่วเบาก่อนที่ร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของชายหนุ่มผู้หนึ่งก้าวเข้าสู่ภายในห้องอย่างรวดเร็ว
จังหวะที่ประตูห้องเปิดออก สายลมจากนอกตัวตึกก็พัดกรูจากหน้าต่างที่เปิดอยู่ภายในห้องพัดออกสู่ช่องประตูที่เปิดแง้มเป็นช่องว่างสำหรับแทรกตัวเข้าไปในห้อง ราวกับพลังลมนั้นถูกเก็บกักไว้รอคอยการถูกปลดปล่อยออกสู่ระเบียงหน้าห้องพักมาเนิ่นนาน
ร่างสูงที่กำลังก้าวสู่ห้องรู้สึกได้ถึงกระลมที่กรรโชกแรงเป็นพิเศษ ถึงกับต้องคว้าบานประตูจับไว้แน่นป้องกันไม่ให้ถูกลมพัดกระแทกผนังห้องเสียงดังรบกวนคนอื่น ที่พักอยู่ในห้องใกล้เคียงกัน ทันทีที่ชายหนุ่มเข้าไปในห้องหมุนลูกบิดล็อกประตูเรียบร้อยแล้ว ร่างอ้วนป้อมของผู้หญิงคนหนึ่งก็ถลันเข้ามาสวมกอดผู้มาเยือนราวกับรอคอยเขาคนนี้มานานแสนนาน
“คิดถึงกรีจังเลยค่ะ”
หญิงสาวพูดพลางเขย่งตัวขึ้นไปหอมแก้มที่สากกร้านด้วยหนวดเคราเขียวครึ้มที่เพิ่งงอกหลังจากโกนไม่กี่วัน พร้อมกับรั้งร่างผู้มาเยือนให้นั่งลงบนโซฟาหนานุ่มที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับประตูห้อง
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มอยู่ในท่านั่งสบายๆ หญิงร่างอ้วนก็กุลีกุจอย่อตัวคุกเข่าลงถอดรองเท้าถุงเท้า แล้วคลายปมเนคไทให้อย่างเอาอกเอาใจ
“รอเดี๋ยวนะคะ” เธอพูดพร้อมกับหมุนกายลุกขึ้นแล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่ติดกับระเบียงขนาดกะทัดรัดตามแบบฉบับของห้องพักขนาดย่อมในอพาร์ทเมนท์มาตรฐานทั่วไป
เวลาผ่านไปแค่อึดใจ “หญิงสาว” ก็เดินออกมาจากห้องน้ำ พร้อมกับผ้าชุบน้ำบิดหมาด ๆ ที่เหยาะโคโลจญ์หอมเย็นชื่นใจมาบรรจงเช็ดเหงื่อบนใบหน้าเรื่อยลงมาถึงลำคอที่ชื้นเหงื่อเหนียวเหนอะหนะ จนแน่ใจว่าผู้มาเยือนรู้สึกคลายร้อนจากการทำงานเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน
“ข้างนอกคงร้อนน่าดู” เธอเปรยขึ้นมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพอใจเมื่อสังเกตเห็นคนที่เธอรักสุดหัวใจมีสีหน้าผ่อนคลายความเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด
นี่คือบริการสุดวิเศษที่ “สุกรี” ได้รับอย่างเสมอต้นเสมอปลายจาก “ปอ” เจ้าของห้องเช่าเล็ก ๆ ในอพาร์ทเมนท์ กลางเก่ากลางใหม่แห่งนี้
ชายหนุ่มไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเมื่อใดก็ตามที่รู้สึกเครียดกับปัญหาหรือเหนื่อยล้าจากการทำงาน เขาต้องขับรถมุ่งหน้ามายังสถานที่แห่งนี้เป็นประจำ ทั้ง ๆ ที่ผู้หญิงที่นั่งยิ้มประจบเอาใจเขาอยู่ในขณะนี้มิได้มีความสวยโดดเด่นใจเป็นพิเศษเลย หน้าตาแค่พอดูได้ รูปร่างติดจะเจ้าเนื้อเกินไปเสียด้วยซ้ำ
คงเป็นเพราะเธอช่างพูดช่างคุยเอาใจเก่ง รู้ใจเขาไปเสียทุกอย่างนั่นเองที่ทำให้รูปโฉมภายนอกแทบไม่มีอะไรสะดุดตาลดความสำคัญลงไป กลายเป็นว่าความไม่สวยกลับขับเน้นเสน่ห์ภายในทำให้เขาหลงรักเธออย่างไม่รู้ตัว
ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น “ปอ” จะคอยเอาใจใส่ดูแลเขาอย่างดีเยี่ยม บางครั้งเขาปลีกตัวจากครอบครัวมาเคาะประตูเรียกตอนดึกๆ ดื่นๆ เธอก็จะเปิดประตูรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มยินดี ยิ่งถ้าเขาติดลมอยู่ค้างคืน ใบหน้ากลมป้อมของผู้หญิงคนนี้ก็จะมีรอยิ้มพึงพอใจจนออกนอกหน้า
ฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องเอื้อเอ่ยเป็นวาจาออกมา ลำพังแค่สายตาที่เธอมองเขา “สุกรี” ก็พอจะรู้ว่า “ปอ” รู้สึกนึกคิดอย่างไร?
ความอ่อนโยนนุ่มนวลรู้จักเอาอกเอาใจอย่างเสมอต้นเสมอปลายของ “ปอ” ทำให้ “สุกรี” ลุ่มหลง และปักใจเชื่อว่าเนื้อแท้ของเธอเป็นผู้หญิงจิตใจดี มีน้ำใจ โดยไม่ทราบระแคะระคายมาก่อนเลยว่านิสัยพื้นฐานที่แท้จริงนั้นจะเป็นอย่างที่เธอปฏิบัติกับเขาหรือไม่?
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น...“สุกรี” ไม่รู้แม้กระทั่งว่า “ปอ” ทำงานหารายได้เลี้ยงชีพอย่างไร
ถ้าเขาเอะใจถามไถ่เสียบ้างก็จะรู้ว่าเธอทำงานขายประกัน เป็นนักขายมือหนึ่ง พูดเก่ง ทำงานเก่ง คล่องแคล่วว่องไว งานที่ทำมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจนได้เป็นระดับผู้จัดการ ทำให้ตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาประกอบอาชีพขายประกันชีวิตเพียงอย่างเดียว
ตัว “ปอ” นั้นผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายพอสมควร อย่างน้อย ๆ เธอก็ผ่านการแต่งงานและหย่าร้างมาแล้วหนึ่งครั้ง เปล่าหรอกเรื่องนี้เธอไม่เคยปิดบังใครต่อใคร ดังนั้น “สุกรี” จึงรู้ดีกว่าผู้หญิงที่เขาลุ่มหลงคนนี้ไม่ใช่สาวโสด ตัวเขาเองก็ไม่ถือสาเรื่องพวกนี้ จะถือเอามาเป็นอารมณ์ได้อย่างไร ในเมื่อตัวเขาเองก็ยังมีห่วงผูกคออยู่เหมือนกัน
สามีของ “ปอ” คือผู้ชายที่ผู้ใหญ่เห็นว่าคู่ควรกันทั้งตำแหน่งหน้าที่การงาน และฐานะทางบ้าน แรก ๆ ที่รู้ว่าแม่อยากให้แต่งานกับผู้ชายคนนั้น “ปอ” ปฏิเสธไม่อยากแต่งเพราะตัวเธอหลงรัก “สุกรี” อยู่ก่อนแล้ว แม้จะพยายามบ่ายเบี่ยงอย่างไรก็ไม่เป็นผล ในที่สุดเธอต้องยอมตามใจผู้ใหญ่ การตัดสินใจครั้งนั้นทำให้ชีวิตแต่งงานล้มเหลวอย่างรวดเร็วชนิดหม้อข้าวไม่ทันดำ
ความสัมพันธ์ระหว่าง “ปอ” กับ “สุกรี” นั้น เกิดขึ้นอย่างบังเอิญ เมื่อครั้งที่ฝ่ายหญิงไปเที่ยวพักผ่อนชายทะเลทางภาคใต้กับเพื่อนหญิงสองสามคน ขณะที่ฝ่ายชายเองก็รวมตัวกับเพื่อนเป็นกลุ่มไปท่องเที่ยวกันตามประสาหนุ่มโสด
บังเอิญหนุ่มสาวทั้งสองคณะได้ที่พักอยู่บังกะโลใกล้กันที่เกาะสมุย ทำให้มีโอกาสได้ทำความรู้จักทักทายกัน ตอนนั้นทั้งสองรู้จักกันฉันท์เพื่อน ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ระยะเวลาสองสามวันที่ได้พบกันเพียงแค่ทำความรู้จัก และคุยกันอย่างถูกคอ เพราะชอบอะไรคล้าย ๆ กัน
ต่อมาเมื่อต่างคนต่างกลับมาทำงานกรุงเทพฯ “สุกรี” คบหา “ปอ” ในฐานะเพื่อน ส่วน “ปอ” แม้แอบรู้สึกพึงพอใจเพื่อนหนุ่มคนนี้เป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ได้พัฒนาความสนิทสนมไปมากกว่าการเป็นเพื่อนกิน ดื่ม เที่ยว แก๊งค์เดียวกัน มีบ้างบางครั้งที่นัดกันไปดูหนังฟังเพลงสองต่อสองทว่าไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้น ถึงแม้ฝ่ายหญิงเริ่มคิดไปเองว่าผู้ชายรู้สึกรักใคร่ชอบพอเป็นพิเศษ เมื่อเขาไม่เอ่ยปากออกมา “ปอ” ได้แต่แอบหลงรักเขาจนหมดหัวใจ
หลังจากไปมาหาสู่กันระยะหนึ่ง จู่ ๆ “สุกรี” ทำตัวห่างเหินเงียบหายไปนานหลายเดือนโดยไม่มีการบอกลา หรือส่งข่าวคราวถึง “ปอ” เลย ทั้งๆ ที่เธอเฝ้าคิดถึงและรุ่มร้อนใจพยายามโทรติดต่อก็ไม่เป็นผล เพราะไม่มีสัญญาณตอบรับจากโทรศัพท์มือถือที่เคยโทรคุยกัน ความรักและห่วงใยทำให้ “ปอ” โทรติดต่อไปที่ทำงาน กลับได้รับข่าวว่าเขาลาออกจากงาน ติดต่อไปบ้านพัก ก็ทราบข่าวว่าเขาย้ายออกจากบ้านหลังดังกล่าวเสียแล้ว
เวลาผ่านไปเนิ่นนานกว่าหนึ่งปีจนเธอคิดว่าคงไม่ได้พบหน้าเขาอีกแล้ว อยู่มาวันหนึ่ง “สุกรี” ก็โทรมานัดบอกว่าจะแวะเข้าไปหา “ปอ” ถึงบ้าน เจอกันครั้งนั้นเขาไม่ได้มาลำพังคนเดียว ข้างกายเขามีผู้หญิงหน้าตาน่ารัก หุ่นดี อายุน้อยกว่าเขาเกือบรอบติดตามมาด้วย
แวบแรกที่มองเห็นผู้หญิงคนนั้น “ปอ” ลอบปลอบโยนตัวเองว่าคงเป็นน้องสาว หรือน้องที่ทำงานเดียวกัน แต่เมื่อเขายื่นการ์ดสีชมพูให้พร้อมทั้งแนะนำว่าเป็นผู้หญิงที่จะเข้าพิธีวิวาห์ด้วยกัน ข่าวนี้ทำเอาหญิงสาวใจหายวาบ และเข้าใจทันทีว่าทำไมเขาถึงหายหน้าไปโดยไม่คำเอ่ยลา....
“กุ๊ก นี่พี่ปอเพื่อนซี้ของพี่”
เด็กสาวยกมือไหว้ปอและยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“ปอ” ยกมือขึ้นรับไหว้ ทั้ง ๆ ที่รู้สึกใจหาย และรู้สึกหวิว ๆ คล้ายจะเป็นลม แต่ความเป็นคนเข้มแข็งทำให้เธอพยายามกล้ำกลืนก้อนแข็งๆ ที่จุกแน่นอยู่ในลำคอเข้าไปในหัวอกหัวใจอย่างลำบากยากเย็น พร้อมทั้งพยายามฝืนยิ้มพยักหน้าฝืนยิ้มยินดีกับข่าวมงคลของผู้ชายคนที่เธอแอบรักเขาจนหมดใจ
“อย่าลืมไปงานให้ได้นะครับ” สุกรี พูดย้ำหลายครั้งก่อนขอตัวกลับ
วันนั้น “ปอ” เดินออกไปส่งหนุ่มสาวผู้มาเยือนด้วยอากัปกิริยาดูเหมือนปกติดีทุกอย่าง แต่พอทั้งสองเดินออกไปจากบ้าน หญิงสาวถึงกับเข่าอ่อนแทบหมดเรี่ยวแรงทรงกาย ต้องเดินกลับเข้าไปทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาด้วยใบหน้าหมองคล้ำสิ้นหวัง
ค่ำคืนนั้นหญิงสาวนอนร้องไห้จนตาบวมแดง ใครเล่าจะรู้ซึ้งถึงความเจ็บช้ำของผู้หญิงวัยสามสิบต้นๆ ที่ต้องสูญเสียชายคนรักอย่างกะทันหัน จริงสินะ! คนอายุปูนนี้ส่วนใหญ่เข้าสู่ประตูวิวาห์กันไปแล้ว ถ้าอายุเลยไปถึงเลขสี่อาจต้องอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต
“ปอ” เริ่มคิดถึงอนาคต ถ้าหากมัวแต่ทำงานและเฝ้าหลงละเมอเพ้อพกคิดถึงแต่ผู้ชายที่ตัวเองหลงรักเขาฝ่ายเดียว แล้วปล่อยชีวิตให้เคว้งคว้างเปลี่ยวเหงาให้วันคืนผ่านไปอย่างนั้นหรือ ผู้หญิงเมื่อแก่ตัวลงแล้วมีชีวิตเงียบเหงาขนาดไหน เพื่อนร่วมงานสาวโสดที่มีอายุเลยเลขสี่หลายคนเป็นตัวอย่างที่เธอได้เห็นหลายคน
...ไม่ได้ เราต้องมีคนอยู่เคียงข้าง ขอเพียงแค่เขาเป็นคนดีน่าจะโอเคแล้ว...คิดได้อย่างนั้น “ปอ” จึงตัดสินใจยอมตกลงแต่งงานกับ “วรพจน์” หนุ่มใหญ่ฐานะดีที่ตามจีบเธอมานาน
บ้านของ “วรพจน” อยู่ซอยเดียวกับเธอ ทำให้เขามีโอกาสทำความรู้จัก และสนิทสนมกับคนในครอบครัวของเธอเป็นอย่างดี เขาเป็นผู้ชายเรียบร้อยนิสัยดี มีความเป็นผู้ใหญ่สุขมรอบคอบแต่อยู่เป็นโสดจนอายุสี่สิบกว่าปี ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาคนนี้เข้านอกออกในบ้านปอมาตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กจนเดี๋ยวนี้แทบจะเลยวัยสาวเต็มตัวไปแล้ว
เมื่อไม่นานมานี้ เขาเอ่ยปากขอแต่งงานกับปอโดยเข้าไปพูดกับพ่อและแม่ ทั้งๆ ที่ไม่เคยบอกรักเธอสักครั้ง ด้วยความคลางแคลงใจในท่าที่ของ “วรพจน์” ที่คบหาเป็นพี่น้องกันมานานหลายปี อีกทั้งตอนนั้นเธอยังมี “สุกรี” อยู่เต็มหัวใจ ก็เลยตอบปฏิเสธกับพ่อแม่ ทั้งๆ ที่ท่านทั้งสองเชียร์ให้แต่งกับคนใกล้บ้านอย่างออกนอกหน้า
“วรพจน์เขาเป็นคนดีนะลูก”
“หนูรักเขาเหมือนพี่ชายนะแม่”
“แม่ว่าปออย่ารอสุกรีเลย นานแล้วนะที่เค้าหายหน้าหายตาไป” แม่ พยายามเตือนสติและหยิบยกเหตุผลสารพัดมาหว่านล้อม แต่ก็ไม่เป็นผล
“สุกรี เค้ารูปหล่อ ระวังน้ำตาจะเช็ดหัวเข่า”
คือคำเตือนสุดท้ายของแม่ ซึ่งนอกจากจะไม่เชื่อแล้ว “ปอ” ยังหัวเราะขบขันกับคำพูดเชยๆ ของแม่
การ์ดสีชมพูที่มาพร้อมกับคำเชิญให้ไปร่วมงานแต่งงานของ “สุกรี” นอกจากจะยืนยันถึงความถูกต้องแม่นยำของสายตายาวไกลของผู้ใหญ่ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนแล้ว ยังเป็นข่าวที่ทำให้แม่ของปอโล่งใจ และส่งข่าวให้ “วรพจน์” แวะเวียนมาทานข้าวที่บ้านบ่อยขึ้น จนแทบกลายเป็นสมาชิกครอบครัวเลยทีเดียว
หลังจาก “สุกรี” แต่งงานได้ไม่นานนัก “วรพจน์” ก็สบโอกาสขอ “ปอ” แต่งงานเป็นครั้งที่สอง คราวนี้เขากล้าเอ่ยปากด้วยตัวเองโดยไม่บอกผ่านพ่อแม่เหมือนครั้งที่แล้ว ความพลาดหวังจาก “สุกรี” ความเหงา และความกลัวว่าถ้าเอ่ยปากปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้ อายุของเธอจะมากเกินกว่าที่จะมีครอบครัว ทำให้ “ปอ” แบ่งรับแบ่งสู้ และขอกลับไปปรึกษาผู้ใหญ่และคิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง
แม้จะเริ่มหวั่นไหวเกรงว่าจะต้องอยู่เป็นโสดไปตลอด แต่ปอยังคงลังเลไม่กล้าตัดสินใจแต่งงาน จนกระทั่งเย็นวันหนึ่งขณะกำลังไปทานข้าวกับเพื่อนร่วมงานหลายคนที่ร้านอาหารเจ้าประจำ จู่ๆ“ป้ากาหลง” เพื่อนร่วมก๊วนวัยใกล้เกษียณเกิดหน้ามืดเป็นลม เพื่อน ๆ ต้องเป็นธุระพากันหามส่งโรงพยาบาลกันแบบทุลักทุเล
ความโดดเดี่ยวไร้ลูกหลานคอยดูแลของป้ากาหลง ทำให้ “ปอ” เริ่มได้คิดว่าสาวโสดอายุมาก เป็นชีวิตที่เงียบเหงามากๆ เคราะห์ดีที่ตอนป่วย “ป้ากาหลง” อยู่กับเพื่อนร่วมงาน ถ้าหากแกเป็นลมตอนอยู่คนเดียวที่บ้าน ใครจะช่วยทัน? และถ้าเราเลือกอยู่เป็นโสด ต่อไปถ้าพ่อกับแม่ไม่อยู่ด้วย แล้วเราจะอยู่กับใคร?
สัจธรรมของชีวิตที่ทุกคนหลีกหนีไม่พ้นการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นปัจจัยเร่งให้ “ปอ” เลิกคิดลังเลใจเรื่องการแต่งงาน ค่ำวันเดียวกันนั้นเธอจึงได้ตัดสินใจเอ่ยปากขอให้ “แม่” ช่วยบอก “วรพจน์” ว่าจะพร้อมแต่งงานด้วย
“แก แน่ใจแล้วหรือ” แม่ถามย้ำไม่แน่ใจ ทว่าน้ำเสียงและสีหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ
แค่ “ปอ” พยักหน้ายืนยันอีกรอบหนึ่ง แม่ของปอก็รีบหยิบมือถือขึ้นมาโทรบอกข่าวการตัดสินใจของลูกสาวให้กับคนที่หมายมั่นปั้นมือให้มาเป็นลูกเขยอย่างไม่ยอมรอให้เวลาผ่านไป ราวกับกลัวว่าลูกสาวจะเปลี่ยนใจ
ถัดจากนั้นไม่นานนักก็ถึงคราวที่ “ปอ” เป็นผู้แจกการ์ด แล้วงานแต่งงานที่จัดเลี้ยงเฉพาะญาติและเพื่อนสนิทได้จัดขึ้นอย่างเรียบง่ายตามความต้องการของหญิงสาว ทั้ง ๆ เจ้าบ่าวและพ่อแม่ของเธอเองต้องการจัดงานแต่งใหญ่โตหรูหรา แต่สุดท้ายต้องยอมตามใจจัดงานแต่งงานเล็กๆ ตามความต้องการของเจ้าสาว
ห้วงเวลานั้น “ปอ” คิดว่าหลังจากแต่งงานไปแล้วคงสามารถลืม “สุกรี” และเปลี่ยนใจมารัก “วรพจน์” ได้ แต่พอได้ใช้ชีวิตร่วมกับสามี ความรู้สึกที่มีต่อเขายังคงเหมือนเดิม นั่นคือมีความเคารพเฉกเช่นพี่ชาย ชีวิตหลังแต่งงานของทั้งคู่จึงผ่านไปอย่างจืดชืดสงบเงียบเหมือนอะไรบางอย่างที่ผ่านการจัดสรรและจัดวางเอาไว้อย่างลงตัวไร้ชีวิตชีวา
ปีแรก “ปอ” ยังพอทนได้ ย่างเข้าปีที่สองความเบื่อหน่ายที่ถูกกลบฝังเอาไว้ในส่วนที่ลึกสุดของใจเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นคล้ายคลื่นใต้น้ำที่รอวันปะทุ ดูเหมือนว่าเธอรู้ตัวเองดีจึงพยายามโหมทำงานหนัก พอมีเวลาว่างก็นัดเพื่อนไปเที่ยวต่างจังหวัด บางทริปไปไกลถึงต่างประเทศ เพื่อหลีกหนีจากชีวิตครอบครัวที่จำเจซ้ำซากแบบเดิม ๆ แต่ก็ช่วยอะไรได้ไม่มากนัก
ความเบื่อหน่ายของเธอยังคงสะสมเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ จนอดคิดไม่ได้ว่าชีวิตที่เหลืออยู่จะจมปลักอยู่กับกิจวัตรประจำวันเหมือนเดิมกับผู้ชายแสนดีที่ใช้ชีวิตเสมอต้นเสมอปลายเป็นเส้นตรง ยิ้มแบบเดิม พูดอย่างเดิม อะไรที่เป็นแบบเดิมๆ ซ้ำซากจำเจนี่เองที่กระพือความรู้สึกเหงาและเบื่อเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ “วรพจน์” ไม่รู้ตัวเลยว่าคนที่อยู่ข้างกายรู้สึกนึกคิดอย่างไร ทั้งๆ ที่ช่วงหลังๆ “ปอ” มักจะขอไปเที่ยวส่วนตัวกับเพื่อนๆ บ่อยครั้งขึ้น
และแล้ววันที่ทำให้ชีวิตแต่งงานของทั้งสองเปลี่ยนแปลงก็มาถึง วันนั้น “ปอ” ไปเที่ยวพักผ่อนชายทะเลหัวหินกับเพื่อนสาว 2-3 คน เหมือนเช่นหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมา
…ทะเลหัวหินยามนั้น แม้จะราบเรียบไร้คลื่นลมกรรโชกแรง ทว่าความเรียบนิ่งของท้องทะเลคล้ายยังมีชีวิตชีวามากว่าชีวิตของเราหลายเท่า...”ปอ” คิดเช่นนั้น ขณะที่เอนกายพักผ่อนอยู่บนเตียงผ้าใบริมหาดกับเพื่อนสาว
หญิงสาวทอดสายตาดูท้องฟ้าสีครามตัดกับน้ำทะเลสีเขียวครามสดใสคล้ายกำลังรู้สึกผ่อนคลาย ทั้งที่จริงๆ แล้วความคิดภายในใจของเธอกำลังย้อนรำลึกถึงชีวิตในอดีตเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน หลากเรื่องราวหลายเหตุการณ์ผ่านเข้ามาในห้วงความคิด มีทั้งสุขและทุกข์คละเคล้ากันไป
ก่อนที่สมองจะทำหน้าที่ผลิตความคิดฟุ้งซ่านให้เลยเถิดไปไกลเกินกว่าที่จะเรียกสติให้กลับคืนมาโดยง่าย...เธอพยายามเรียกสติกลับมามองผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาอยู่บริเวณริมหาด ทันใดนั้นเธอก็มองเห็นชายร่างสูงผิวคล้ำเต็มไปด้วยมัดกล้ามแว่บเข้ามา...”ปอ”ขยี้ตาแล้วเพ่งสายตามองไปยังร่างสูงอย่างไม่เชื่อสายตา ใช่แล้วใช่เขาจริงๆ
“กรี กรี ทางนี้” หญิงสาวตะโกนเรียกเสียงดังด้วยน้ำเสียงดีใจสุดขีด เมื่อได้เจอชายหนุ่มที่แอบคิดถึงอยู่ตลอดเวลา
ร่างสูงเหลียวมองหาต้นเสียง พอเห็นว่าเป็น “ปอ” เพื่อนสาวที่เคยใกล้ชิดสนิทสนมก็รีบเดินเข้าไปหาด้วยท่าทางดีใจไม่แพ้กัน
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สวยขึ้นเป็นกอง” สุกรี ยังคงปากหวานเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“กุ๊ก ไม่ได้มาด้วยกันหรือคะ” เธอถามถึงภรรยาเขาตรงๆ ตามสไตล์
รอยยิ้มสดชื่นของ “สุกรี” จางลงอย่างรวดเร็ว เขาส่ายหน้าน้อยๆ สีหน้าที่ดูอินหนาระอาใจของเขา ทำให้ “ปอ” เข้าใจด้วยสัญชาตญาณว่าเขากำลังมีปัญหาชีวิตคู่
ความรู้สึกวูบแรกหญิงสาวคือความห่วงใยคนที่เคยหลงรัก แต่อีกความรู้สึกหนึ่งที่เข้ามาแทนที่กลับเป็นสิ่งที่เธออยากสลัดมันออกไป...ใช่สิ ลึกๆ แล้วมันเป็นความรู้สึกดีใจ และเริ่มมีความหวังเล็กๆ ขึ้นมาในใจ ทั้งๆ ที่ตัวเธอเองไม่ได้อยู่ในสถานภาพที่จะคาดหวังอะไรอย่างนั้น...
“พี่พจน์สบายดี...?” คำถามของ “สุกรี” ทำให้ “ปอ” เข้าใจทันทีว่าเขารู้ความเคลื่อนไหวของเธอทุกอย่าง รู้แม้กระทั่งว่าเธอแต่งงานกับ “วรพจน์” แล้ว ทั้ง ๆ ที่ตัวเธอไม่ได้แจกการ์ดเชิญเขาแต่อย่างใด
“ก้อ...สบายดีค่ะ” ปอ ตอบเสียงแผ่วเบา พยายามเลี่ยงไม่เอ่ยถึงสามีมากเกินจำเป็น เพราะไม่อยากทำลายบรรยากาศที่ดีด้วยการนำเอาเรื่องในครอบครัวมาเล่าให้ผู้ชายอีกคนหนึ่งฟัง
ตลอด 2-3 วัน เขามาเที่ยวกับกลุ่มของปออย่างสนิทสนม ทุกคนเที่ยวกินดื่มกันอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะปอนั้นรู้สึกผ่อนคลายหลุดพ้นจากความเบื่อหน่ายที่ฝังลึกในใจมาเนิ่นนาน
วันสุดท้ายของทริปนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งใกล้ถึงเวลาเดินทางกลับ ขณะที่เพื่อนๆ กำลังสาละวนเก็บข้าวของเตรียมตัวเดินทางกลับกรุงเทพฯ ปอกลับนั่งซึมไม่กระตือรือร้น เหมือนทุกๆ วัน ที่ผ่านมา
“ทำไมไม่เก็บเสื้อผ้า เราต้องกลับแล้วนะจ๊ะ” เพื่อนสาวคนหนึ่งถามขึ้นมา เมื่อเห็นปอเอาแต่นั่งเหม่อลอย
“ชั้นอยากอยู่ต่ออีกซักหน่อย” ปอ ตอบเสียงเบา ในใจคิดถึงเมื่อวันวาน “สุกรี” แอบเข้ามากระซิบบอกว่านานๆ เจอกันทีอยากให้อยู่เที่ยวต่อด้วยกันอีกซักวัน
“ขอคิดดูก่อนนะคะ” ตอนนั้นเธอตอบแบ่งรับแบ่งสู้ทั้งๆ ที่ตกลงใจตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าต้องการอยู่เที่ยวต่อกับคนที่กลายเป็นเจ้าของหัวใจของเธออย่างสมบูรณ์แบบไปแล้ว….
เสียงคลื่นซัดสาดโขดหินจนน้ำกระเซ็น ลมทะเลพัดแรงขึ้นกว่าวันก่อน ท้องฟ้ายังคงสดใสเจิดจ้า เกลียวคลื่นที่ม้วนตัวขึ้นสูงก่อนโยนตัวซัดสาดสู่ชายฝั่งเป็นระลอกเสมือนหอบเอาความรักที่ไร้ตัวตนทว่าทรงพลังมาให้คู่หนุ่มสาว
“ผมรักคุณ”
คำสารภาพรักของ “สุกรี” เมื่ออยู่ด้วยกันสองต่อสอง หลังจากเพื่อนของเขาและเธอพากันกลับกรุงเทพฯไปก่อน คำๆ นี้ไม่ใช่หรือที่เธอรอมาเนิ่นนานแต่ไม่เคยมีโอกาสได้ยินจากปากของเขา ณ เวลานี้กลับได้ยินกับหู...มันสายไปแล้ว...ปอคิด ทว่าใจที่เคยเข้มแข็งกลับหวั่นไหวโอนอ่อนตามอารมณ์ปรารถนาที่เธอกดฝังเอาไว้ในใจมานานหลายปี
ความสุขชั่ววูบผ่านมาแล้วเลือนลับหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อวันต่อมาต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯ แทนที่จะ “สุข” กลับทุกข์ทรมานยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าทวีคูณ
จะทำอย่างไรดีหนอ ในเมื่อความยึดมั่นในศีลธรรมอันเป็นสายป่านสุดท้ายที่ร้อยรัดให้ “ปอ” ใช้ชีวิตร่วมกัน “วรพจน์” มาหลายปี ได้ถูกตัวเธอเองกับ “สุกรี” ร่วมกันทำลายจนขาดสะบั้น เป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริงๆ ที่ตัวเธอจะรู้สึกว่าใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสามีแค่ “ร่างกาย” ส่วน “หัวใจ” ทำหล่นไว้ที่ริมชายทะเลหัวหินเสียแล้ว....
มโนธรรมบางประการมีส่วนเหนี่ยวรั้งให้ “หญิงสาว” ทนร้อนรุ่มใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกับสามีได้อีกเพียงแค่สองสามเดือน เธอเฝ้าถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร จนแน่ใจตัวเองว่ามีความปรารถนาที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับ “สุกรี” มากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวัน ความปรารถนาดังกล่าวมากขึ้นทุกวันจนเกินความสามารถที่จะยับยั้งเอาไว้ได้นั้น มีส่วนอย่างยิ่งที่กระตุ้นให้ทั้งคู่ลักลอบนัดพบกันหลายครั้งหลายหน
ความเป็นคนดีที่ปฏิบัติตัวคงเส้นคงวาของ “วรพจน์” ทำให้แทบทุกครั้งที่กลับบ้าน “ปอ” รู้สึกผิดอย่างแรง แต่ก็พยายามแก้ตัวว่างานเยอะมาก ช่วงหลัง ๆ ถนนหนทางไปออฟฟิศก่อสร้างรถไฟฟ้า รถติดหนักต้องใช้เวลาเดินทางมากขึ้นกว่าเดิม หากต้องเดินทางไปกลับที่ทำงานอย่างเดิมแย่แน่ ๆ เธอถึงกับเอ่ยปากขอไปหาที่พักแถวใกล้ๆ ออฟฟิศ
แรก ๆ “วรพจน์” ไม่เห็นด้วยไม่ยอมให้ภรรยาแยกออกไปเช่าอพาร์ทเมนท์ใกล้ที่ทำงาน แต่พอเห็นเธอกลับบ้านดึกบ่อยๆ และมีท่าทางเหน็ดเหนื่อยกับการทำงานมากขึ้นทุกวัน สุดท้ายก็ทนการรบเร้าไม่ได้ ยอมให้เธอไปเช่าห้องพักใกล้ออฟฟิศในวันทำงาน และกลับมาอยู่บ้านทุกวันหยุดสุดสัปดาห์
จังหวะที่ “ปอ” ย้ายออกไปเช่าอพาร์ทเมนท์ใกล้ที่ทำงานทำให้เธอห่างเหินจากสามีมากขึ้นเรื่อย ๆ มีบางวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ก็ไม่กลับบ้าน อ้างว่าเหนื่อยต้องทำงานล่วงเวลา ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเธอแอบนัดพบ “สุกรี” ลอบมีความสัมพันธ์กันแบบลับๆ
หญิงสาวพยายามใช้มารยาหญิงเอาอกเอาใจ “สุกรี” สารพัด หวังให้เขาเปลี่ยนใจเลิกกับภรรยา ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอจะหย่าขาดจากสามี มาใช้ชีวิตคู่ร่วมกับเขาอย่างเปิดเผยไม่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไป
“ช่วยไม่ได้ ชั้นรู้ตัวดีว่าไม่สวย ต้องใช้วิธีเอาใจเขามากๆ ยอมทำตัวหวานเว่อร์ ๆ” ความเป็นคนเปิดเผยทำให้เธอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนสนิทฟังอย่างไม่ปิดบังอำพรางอยู่เสมอๆ
“ผู้หญิงสวยส่วนมากมักไม่มีเสน่ห์ ชั้นจำเป็นต้องมีเสน่ห์ในแบบที่เมียเขาไม่มี ถึงจะดูเป็นการแสดงละครก็ช่างเถอะ”
ราวกับว่าความพยายามของ “ปอ” ประสบผลสำเร็จอยู่บ้าง ช่วงหลัง ๆ “สุกรี” แอบมาพบเธอบ่อยครั้งขึ้น แทบทุกครั้งที่มาเขามักเข้าห้องมาด้วยใบหน้าเหน็ดเหนื่อยและเครียดจากการทำงาน หรือจากปัญหาครอบครัว หญิงสาวไม่เคยซักถามให้เขาเสียความรู้สึก หลังจากใช้เวลาขลุกอยู่กับเธอประมาณ 3-4 ชั่วโมง เขาก็กลับออกจากห้องพักของเธอด้วยท่าทางสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
หญิงสาวปรนนิบัติชู้รักอย่างเสมอต้นเสมอปลายต่อเนื่องนานนับปีจนมั่นใจว่าเขาหลงเสน่ห์จนถอนตัวไม่ขึ้น จึงตัดสินใจเด็ดขาดขอเลิกกับสามี ถึงแม้ “วรพจน์” จะปฏิเสธไม่ยอมหย่า และทุกคนในครอบครัวคัดค้านไม่เห็นด้วย แม่ขอร้องให้ทั้งสองต้องพยายามปรับตัวเข้าหากันประคองชีวิตคู่อยู่ด้วยกันต่อไป
แม้หลายคนจะยกเหตุผลต่างๆ หนาๆ มาเหนี่ยวรั้ง แต่ “ปอ” ไม่ยอมฟังเหตุผลอะไรทั้งสิ้น เพราะมั่นใจว่าโอกาสชนะใจ “สุกรี” อยู่ใกล้แค่เอื้อม
...การบอกเลิกกับสามีแทนการขอให้ “สุกรี” หย่าขาดจาก “กุ๊ก” น่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่า นอกจากจะเป็นการแสดงความจริงใจเลือกอยู่กับผู้ชายที่เธอรักมากที่สุดเพียงคนเดียว น่าจะเป็นการเปิดทางให้เขามาหาได้อย่างสบายใจขึ้น เวลาผ่านไปเขาน่าจะคิดได้เองว่าควรจะเลิกกับภรรยามาใช้ชีวิตร่วมกับผู้หญิงที่ทำให้เขามีความสุขมากกว่า...เธอคิดเช่นนั้น
แต่แล้ว... “ปอ” ต้องผิดหวังอย่างแรง เมื่อ “สุกรี” รู้ว่าเธอเลิกกับสามี เขากลับไมได้แสดงอาการดีอกดีใจ อย่างที่ควรจะเป็น
“ดี แล้วนี่” เขาพูดพร้อมกับยักไหล่เล็กน้อย
คำตอบของเขาฟังดูขัดหู “ปอ” อย่างบอกไม่ถูก แต่ความรักที่มีต่อเขาอย่างงมงาย ทำให้เธอจำต้องกล้ำกลืนความน้อยใจ ไม่พอใจที่เขาทำมึนชา คล้ายเห็นว่าการตัดสินใจหย่าร้างของเธอไม่ใช่เรื่องสำคัญ และตัวเขาเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย...
ความรักที่ “ปอ” เทให้ “สุกรี” จนหมดใจ ทำให้เธอยอมอดทนรักษาความสัมพันธ์เอาไว้อย่างเดิม ในใจแอบหวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะรู้สึกว่าเธอรักเขามากแค่ไหน ใช่สิ...อาจจะมากกว่าเมียแต่งของเขาเสียด้วยซ้ำ
“กุ๊กยังเด็ก เขาไม่มีความผิดอะไร” คือคำตอบของเขา เวลาที่เธอขอให้เขาเคลียร์ปัญหานี้ให้จบลงด้วยการหย่า แล้วมาใช้ชีวิตร่วมกันอย่างเปิดเผย ไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ อีกต่อไป
แรก ๆ หญิงสาวมั่นใจว่าทนรอได้ พอเวลาผ่านไปนานนับปีใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นเริ่มอ่อนหล้า ยิ่งเมื่อวันคืนล่วงผ่านไปสามสี่ปีจนเขาทั้งคู่มีลูกด้วยกัน เธอจึงเริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่รอคอยคือความสูญเปล่า แม้ว่า “สุกรี” จะยังคงลักลอบมาหาเธอสม่ำเสมอเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าการกระทำดังกล่าวกลับเป็นการตอกย้ำให้รู้สึกว่าเขายัดเหยียดตำแหน่งเมียน้อยให้เธออย่างเต็มรูปแบบ
เมียน้อยเป็นตำแหน่งที่ “ปอ” รังเกียจมาแต่ไหนแต่ไร ด้วยการศึกษาและความสามารถทำงานมีเงินเดือนไม่น้อย ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ชายหาเลี้ยง ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับ “สุกรี” ทำให้อดคิดไม่ได้ว่ากำลังทำสิ่งที่ไม่อยากทำ...ไม่น่าจะใช่ กุ๊กเจอกับเขาหลังเรา...เธอพยายามหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง ทั้งๆ ที่ในใจไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น...
...คืนวันหนึ่ง...ปอเข้านอกตามปกติ กว่าจะข่มตาหลับได้ก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว หญิงสาวหลับได้ไม่นานก็ดำดิ่งเข้าสู่ความฝันสุดเลวร้าย ฝันนั้นคล้ายภาพหลอนที่ดูเหมือนเรื่องจริงมากที่สุด
ใช่แล้ว มันเป็นภาพ “สุกรี” กับ “กุ๊ก” กำลังทะเลาะกันเรื่องของเธอ ทั้งสองทะเลาะกันรุนแรงมาก จนถึงขั้นฝ่ายหญิงขับไล่ไสส่งให้ฝ่ายชายออกจากบ้าน และมีเสียงลูกร้องไห้เสียงดังลั่น ในฝันนั้น สุกรีและกุ๊ก ไม่สนใจไยดีลูกเลย เอาแต่ทุ่มเถียงกันเอาเป็นเอาตาย
“ปอ” ตกใจตื่นขึ้นมากลางดึก ฝันนั้นคล้ายเรื่องจริงจนรู้สึกไม่สบายใจ หญิงสาวเอื้อมมือหยิบนาฬิกามาดู เห็นว่าเป็นเวลาตีสามกว่า ๆ จึงพยายามข่มตาหลับ เจ้ากรรมไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่สามารถหลับได้จนถึงกระทั่งถึงรุ่งเช้า
ความฝันคืนนั้น มีอิทธิพลต่อ “ปอ” มาก มันเหมือนละครฉากหนึ่งที่สะกิดความรู้สึกผิดที่ฝังลึกอยู่ในใจมาเนิ่นนานให้โผล่ขึ้นมาทิ่มแทงจนเจ็บร้าวไปทั้งใจ
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ก็คือจิตสำนึกด้านดี ได้กระตุ้นเตือนให้เธอรู้สึกสำนึกผิดไม่สบายใจที่ปล่อยตัวปล่อยใจให้เกิดปัญหารักสามเส้าที่ตัวเธอต้องกลายเป็นมือที่สามเข้าไปทำร้ายทำลายครอบครัวของสุกรี “ปอ” รู้สึกเสียใจมากจนรู้สึกว่าไม่สามารถอดทนใช้ชีวิตเมียน้อย เมียเก็บ อย่างที่ผ่านมาได้อีกต่อไป
ในที่สุดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่ยังหลงเหลืออยู่ได้สั่งการให้หญิงสาวตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรบอกเลิกเช่าห้อง เวลานั้นเธอคิดอยู่อย่างเดียวว่าจะปลีกตัวออกไปจากชีวิตของ “สุกรี”
...ไม่ได้ เราต้องหาทางไปจากเขาให้ไกลที่สุด ต้องตัดขาดจากกัน....เธอตัดสินใจจะบอกเลิกจากคนที่รักมากที่สุด
ล่วงเข้าสู่ยามเย็น “สุกรี” มาหาที่ห้องพักตามปกติ “ปอ” ยังคงเอาอกเอาใจปรนนิบัติเขาอย่างเดิม หลังจากทานอาหารเย็นด้วยกันแล้ว เธอจึงตัดสินใจเอ่ยปากบอกลา...
“อย่าทำอย่างนั้นนะ” เขาปฏิเสธด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก ร่างสูงถึงกับทรุดตัวลงคุกเข่าอ้อนวอนผู้หญิงที่นั่งน้ำตาคลอเบ้าหลังจากตัดสินใจบอกเลิกกับผู้ชายอันเป็นที่รักยิ่ง
ยามนั้น “ปอ” รู้สึกสงสารและสมเพชเวทนาตัวเองที่มีชะตากรรมเยี่ยงนี้ ความเสียใจนั้นมีมากเสียจนไม่สามารถควบคุมอารมณ์เศร้าโศกเสียใจเอาไว้ได้อีกต่อไป
ปอร้องไห้โฮ น้ำตาไหลอาบแก้ม เธอสะอื้นไห้พูดกับ “สุกรี” ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ...
“เราทำผิดศีลธรรมอย่างน่ารังเกียจนะคะ” นี่คือประโยคที่เธออยากพูดอยากระบายออกมานานแล้ว แต่พยายามควบคุมเอาไว้ไม่ให้หลุดปากบอกกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นชู้รัก
“ผมรักคุณ” เขาซบหน้าลงบนตักเธอ เพื่อปิดบังไม่ให้หญิงสาวเห็นน้ำตาที่เอ่อท้นออกมาอย่างไม่สามารถสะกดกลั้นเอาไว้ได้
ใจที่สร้างภูมิคุ้มกันให้เข้มแข็งของ “ปอ” กลับอ่อนยวบลงอีกครั้งหนึ่ง ความตั้งใจที่จะลาจากเขาเริ่มสั่นคลอน เขาดีกับเราอย่างนี้ อ่อนโยนถึงเพียงนี้ เราจะจากเขาไปได้หรือ แล้วถ้าจากไปจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร จะหักใจลืมเขาได้หรือ? คำถามสารพัดสับสนอลหม่านอยู่ภายในใจของหญิงสาวที่กำลังสับสนไม่รู้ว่าจะหาทางออกให้กับชีวิตอย่างไร?
ประตูห้องปิดลงอย่างช้า ๆ ร่างสูงเต็มไปด้วยมัดกล้ามของ “สุกรี” หายลับไปจากช่องประตูเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา ก่อนกลับบ้านเขาเฝ้าพร่ำพรอดขอร้อง “ปอ” อย่าหนีหายไปไหน เขาพูดถึงความรัก พร่ำบอกแม้กระทั่งว่าเธอเป็นผู้มาก่อนมิใช่เมียน้อย ชายหนุ่มพูดทุกอย่างที่เธอหวังจะได้ยินจากปากเขา ยกเว้นประโยคเดียว คือคำว่าจะยอมหย่าขาดจากเมียแต่ง
ค่ำวันนั้น “ปอ” นอนร้องไห้เกือบตลอดคืน ร้องไห้จนกระทั่งเผลอหลับไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
รุ่งเช้า...ปอตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกอ่อนระโหยโรยแรงมากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต หญิงสาวอาบน้ำแต่งตัวอย่างเหนื่อยล้า ภาพสะท้อนใบหน้าในกระจกดูช่างหม่นหมองเสียนี่กระไร ตาบวมแดงช้ำเพราะผ่านการร้องไห้อย่างหนักสาหัสมาแทบทั้งคืน
หญิงสาวถอนใจกับภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าแล้วยักไหล่เล็กน้อย ก่อนจะหยิบกระเป๋าเครื่องสำอางมาเปิด แล้วบรรจงทาอายแชโดว์อย่างหนาเป็นพิเศษเพื่อกลบรอยช้ำรอบเปลือกตา เมื่อแน่ใจว่าสีสันที่ระบายดูกลมกลืนดีแล้ว ก็หยิบลิปสติกสีพีชมาระบายริมฝีปาก ใช้เวลาแต่งหน้าไม่นานนัก เธอก็สวยสดใสเหมือนทุกๆ วันที่ผ่านมา
สาวร่างอวบเดินย้ายตัวเองจากลิฟต์อย่างเหนื่อยหน่าย พอพ้นจากประตูลิฟต์ก็เดินตรงดิ่งอย่างมั่นคงไปยังประตูหน้าของตัวตึกอย่างไม่ลังเล เธอผลักประตูบานใสให้เปิดออกพอก้าวพ้นตัวอาคารออกไปได้ไม่กี่ก้าว ร่างอวบนั้นกลับชะงักลงหมุนตัวกลับเดินย้อนเข้าไปในอพาร์ทเมนท์ แล้วเดินตรงไปหยุดยืนที่เคาท์เตอร์ด้านใน
“ห้อง 236 ไม่ย้ายแล้ว ขอเช่าต่อเหมือนเดิมค่ะ”
“คุณเช่าต่อเหมือนเดิม ไม่ย้ายออกแล้วหรือคะ” พนักงานสาวถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
“ค่ะ” ปอตอบรับสั้นๆ ก่อนหมุนตัวกลับแล้วเดินออกไปจากอพาร์ทเมนท์อย่างกระฉับกระเฉงเฉกเช่นทุกวันที่ผ่านมา
การจราจรบนท้องถนนในกรุงเทพฯ ยังคงติดขัดมากเหมือนเดิม เวลานี้หากใครมีภารกิจเร่งด่วนคงต้องมีอาการร้อนรนกระวนกระวายใจที่รถราบนถนนขยับไปข้างหน้าได้ทีละนิดทีละหน่อยสลับกับหยุดนิ่ง ในห้วงเวลารถติดอย่างหนักอย่างนี้กลับมีคน ๆหนึ่งมีท่าทางคล้ายไม่ได้รีบร้อนไปไหนทั้งสิ้น
คน ๆ นั้น คือสาวร่างอวบที่นั่งสงบอยู่บนเบาะหลังรถแท็กซี่ด้วยท่าทางสบายใจเป็นพิเศษ เมื่อชำเลืองดูรถราที่อยู่รายล้อมเห็นว่ารถติดหนักมาก เธอก็เอนหลังพิงเบาะหลังรถแท็กซี่อย่างผ่อนคลาย ทั้งยังฮัมเพลงเบาๆ ตามเสียงดนตรีที่คนขับรถแท็กซี่เปิดไว้ราวกับมีความสุขเสียเต็มประดา
ใช่แล้ว...หญิงสาวคนนี้คือ “ปอ” นั่นเอง
18 ก.ค. 2568