Last updated: 22 มิ.ย. 2568 | 132 จำนวนผู้เข้าชม |
ส่องมุมมองการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในยานยนต์สมัยใหม่ ผ่านมุมมองของ ดร.เกรียงศักดิ์ วงศ์พร้อมรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ ในงานสัมมนา “Automotive Summit 2025” ในหัวข้อ “AI4AI” Artificial Intelligence for Automotive Industry ปัญญาประดิษฐ์ขับเคลื่อนยานยนต์สู่อนาคต โดยสถาบันยานยนต์ ร่วมกับ อาร์เอ็กซ์ เทรดเด็กซ์ ในงาน Manufacturing Expo ระหว่างวันที่ 18-21 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา
AI จะเข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอย่างไร? ในมุมมองของ ดร.เกรียงศักดิ์ วงศ์พร้อมรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ มาดูกัน...
ทำไม? เลือก AI4AI เป็นธีมหลักของ “Automotive Summit 2025”
ดร.เกรียงศักดิ์ วงศ์พร้อมรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ กล่าวถึงการนำเสนองานสัมมนาภายใต้แนวคิด AI4AI ครั้งนี้ว่า มุ่งนำเสนอองค์ความรู้และแนวโน้มการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในอุตสาหกรรมยานยนต์ การใช้งานในระบบนิเวศน์ยานยนต์สมัยใหม่ที่ช่วยเสริมความปลอดภัย ความสะดวกสบายของผู้ใช้งาน การเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต รวมถึงการเดินทางผ่านการใช้งานเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่มีเทคโนโลยี AI เป็นส่วนประกอบสำคัญ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยในอนาคต
การตัดสินใจเลือก “AI4AI” เป็นประเด็นหลักในการจัดสัมมนา “Automotive Summit 2025” เพราะต้องการให้ผู้ร่วมงานได้เห็นภาพ เห็นทิศทาง และเห็นโอกาสการมีส่วนร่วมพัฒนาวงการยานยนต์ ซึ่งก่อนหน้านี้มีการจัดสัมมนาเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ในเชิงนโยบายต้องชื่นชมรัฐบาลไทยโดยคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติที่ประสบความสำเร็จกับนโยบาย 30@30 ที่มีเป้าหมายให้ประเทศไทยผลิตรถยนต์ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Emission Vehicle หรือ ZEV) อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดภายในปี พ.ศ. 2573 หรือ ค.ศ. 2030
“จริง ๆ แล้วเป็นความชาญฉลาดในเชิงนโยบายของภาครัฐที่มีมาตรการ EV3.0 และ EV3.5 ที่ให้เงินอุดหนุนสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า BEV PHEV และ HEV ทำให้ปัจจุบันมีค่ายรถ EV มาลงทุนในประเทศไทยรวมกำลังการผลิตประมาณ 500,000 คัน จาก 7 ค่ายรถยนต์ไฟฟ้า ที่ส่วนใหญ่มาจากประเทศจีน และอาจมีค่ายรถยนต์จากประเทศอื่นพิจารณาเข้ามาลงทุนเพิ่มเติมอีก” ดร.เกรียงศักดิ์ กล่าว
สำหรับในปีนี้ ประเทศไทยมีการลงทุนด้านยานยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ มีการเปิดตัวโรงงานผลิตรถยนต์ของค่ายรถจากประเทศจีนหลายแห่ง และยังมีการลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้สถานการณ์ยานยนต์ในประเทศไทยมีการแข่งขันสูงขึ้น ดังนั้นจึงเกิดมุมมองว่าเมื่อพูดถึงยานยนต์สมัยใหม่ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการเปลี่ยนจากรถสันดาปไปเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น หากแต่ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไปสู่ความทันสมัยที่มีการนำ AI เข้ามาใช้ให้รถยนต์มีการขับขี่ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่มีการสื่อสารอยู่ตลอดเวลา
“C A S E” สัญลักษณ์แห่งยานยนต์สมัยใหม่
ดร.เกรียงศักดิ์ อธิบายถึงคำว่ายานยนต์สมัยใหม่มักจะมีคำอธิบายข้างใต้ว่า C A S E ตัว C ย่อมาจาก Connected Car คือรถยนต์รุ่นใหม่ๆ จะมีการสื่อสารกับสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวรถตลอดเวลา ซึ่งเป็นแนวคิดของการเชื่อมต่อยานยนต์เข้ากับยานยนต์หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ผ่านระบบเน็ตเวิร์คเพื่อให้สามารถรับส่งข้อมูล นำมาซึ่งฟังก์ชันต่าง ๆ ที่ไม่ได้จำกัดแค่เพียงการขับขี่อัตโนมัติ
A คือ Autonomous ในอนาคตคนอาจไม่ต้องนั่งหลังพวงมาลัยอีกต่อไป ต่างประเทศได้มีการทดลอง Autonomous Car รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองโดยไม่ต้องอาศัยคนควบคุม แต่ก็ยังเป็นการทดลองในพื้นที่จำกัด ดังนั้นเทคโนโลยีรถยนต์มีเส้นทางการพัฒนาไปสู่ยานยนต์อัตโนมัติมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะพัฒนาไปสู่ Autonomous Car นั้น เทคโนโลยียานยนต์ได้มีการพัฒนาระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง Advanced Driver-Assistance Systems (ADAS) ซึ่งเป็นระบบที่ใช้เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการขับขี่ ด้วยการใช้เซ็นเซอร์และกล้องตรวจจับสภาพแวดล้อมรอบตัวรถ และให้ข้อมูลหรือคำแนะนำแก่ผู้ขับขี่ รวมถึงการเตือนเมื่อพบสิ่งผิดปกติ หรือแม้แต่การควบคุมรถในบางสถานการณ์ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ
การทำงานของระบบช่วยขับอัจฉริยะ จะเป็นในรูปแบบอัตโนมัติ อย่างเช่นถ้าหากมีรถหรือวัตถุใดๆ มาอยู่ข้างๆ รถในระยะไม่ปลอดภัยก็จะมีสัญญานเตือน มีออโต้เบรก ถ้าขับรถออกนอกเลนจะมีสัญญานเตือน หรือมีระบบดึงพวงมาลัยกลับ เป็นต้น
S คือ Sharability เมื่อรถยนต์เชื่อมต่อกับระบบอัจฉริยะต่างๆ ในอนาคตแอปพลิเคชัน และแพล็ตฟอร์มต่างๆ จะมีการคอนเนกกับ AI ในรถยนต์มากขึ้น
ส่วนตัว E คือ Electric หมายถึงการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์สมัยใหม่ หรือยานยนต์ไฟฟ้า
ดังนั้นการสัมมนาในหัวข้อ “AI4AI” จึงเป็นการส่งสัญญานให้ผู้ประกอบการยานยนต์ในไทยว่าต่อไปรถยนต์จะเกี่ยวข้องกับระบบอัจฉริยะมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ในส่วนของยานยนต์ไฟฟ้านั้นจะมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลาทั้งในด้านของแบตเตอรี่ ระบบความปลอดภัย และโปรแกรมอัจฉริยะต่างๆ
รัฐบาลหนุน ADAS 4 ใน 6 ระบบ จับตาการประกาศใช้ในปี 2569
หากติดตามข่าวจากบอร์ดอีวี จะเห็นว่าหลังจากที่รัฐบาลประสบความสำเร็จจากมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า BEV และ PHEV ก็ได้มีมาตรการสนับสนุนรถไฮบริด (HEV) หลายคนอาจจะเห็น MHEV หรือมายด์ไฮบริด เริ่มกลับมามีบทบาท ทำให้ผู้ใช้รถยนต์ที่ยังไม่พร้อมสำหรับการใช้รถ EV มีทางเลือกในการใช้รถไฮบริดมากขึ้น ทั้งนี้ในมาตรการหนุน HEV รัฐบาลเริ่มมีแนวคิดว่าเรื่องของ AI และระบบสมาร์ทซิสเท็มต่างๆ มีความสำคัญ ส่งผลให้มีการเตรียมพิจารณาเงื่อนไขให้มีการติดตั้งระบบ ADAS ในรถยนต์จำนวน 4 ใน 6 ระบบ
สำหรับระบบ ADAS ที่กรมสรรพสามิตกำหนดไว้ 6 ระบบมีรายละเอียดดังนี้
1. ระบบเบรกฉุกเฉินขั้นสูง Advanced Emergency Braking System (AEB)
2. ระบบเตือนการชนด้านหน้าของรถ Forward Vehicle Collision Warning Systems (FCW)
3. ระบบการดูแลภายในช่องจราจร Lane Keeping Assistance Systems (LKAS)
4. ระบบเตือนการออกหรือเปลี่ยนช่องจราจร Lane Departure Warning System (LDW)
5. ระบบการตรวจจับจุดบอด Blind Spot Detection (BSD)
6. ระบบการควบคุมความเร็วของยานยนต์ Adaptive Cruise Control (ACC)
ทั้งนี้ กรมสรรพสามิตจะมีการออกประกาศเพื่อกำหนดพิกัดอัตราภาษีรถยนต์ ที่มีการติดตั้งระบบ Advanced Driver - Assistance Systems หรือระบบ ADAS ในปี 2569 โดยกำหนดให้รถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารที่มีที่มีนั่งไม่เกิน 10 คน ต้องติดตั้งระบบ ADAS อย่างน้อย 2 ระบบจาก 6 ระบบ ยกเว้นรถยนต์ไฟฟ้าต้องมีอย่างน้อย 4 ระบบจาก 6 ระบบ ขณะที่รถยนต์สันดาปหรือรถกระบะต้องติดตั้งระบบ ADAS อย่างน้อย 1 ระบบจาก 6 ระบบ ยกเว้น รถกระบะไฟฟ้า ต้องมีอย่างน้อย 2 ระบบจาก 6 ระบบ
ระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ (ADAS) เป็นเทคโนโลยีการผสานการทำงานร่วมกันระหว่างเซ็นเซอร์ กล้อง LiDAR และซอฟต์แวร์ในยานยนต์สมัยใหม่ทำให้ “เทคโนโลยีซอฟต์แวร์” มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต ที่เรียกว่ายานยนต์กำหนดฟังก์ชันด้วยซอฟต์แวร์ (SDVs) โดยเฉพาะ “เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์” หรือ “AI” ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมและถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์มากขึ้น
การพัฒนาในแนวทางนี้สะท้อนภาพอย่างเป็นรูปธรรมจากตลาด AI ในอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จากมูลค่าตลาดประมาณ 7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2024 จะเพิ่มเป็นประมาณ 19 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2034 ด้วยอัตราการขยายตัวของตลาดเฉลี่ยกว่า 10% ต่อปี ประเมินว่าประมาณปี 2034 จะเห็นมูลค่าของระบบ AI ในรถยนต์โตขึ้นประมาณ 3 เท่า ขณะที่ระบบ mechanical มาร์จิ้นจะลดลง การแข่งขันจะไปอยู่ที่ระบบอัจฉริยะมากขึ้น ต่อไปมูลค่าของรถยนต์จะขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่มี AI เข้าไปมีบทบาทมากขึ้น
SDV และ LiDAR เทคโนโลยีอัจฉริยะจะมีบาทต่อยานยนต์สมัยใหม่
ดร.เกรียงศักดิ์กล่าวว่ารัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมในเรื่องของระบบอัจฉริยะทำให้การใช้ AI ในรถยนต์เป็นเทรนด์กำลังจะเข้ามามีบทบาท ในวงการยานยนต์มีศัพท์คำใหม่เรียกว่า SDVs ย่อมาจาก Software-Defined Vehicle หมายถึงยานยนต์ที่ฟังก์ชันการทำงานหลักถูกควบคุมโดยซอฟต์แวร์ ทำให้สามารถอัปเดต เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ และปรับปรุงประสิทธิภาพได้ตลอดอายุการใช้งานของรถ ผ่านการอัปเดตซอฟต์แวร์ทำให้มีความยืดหยุ่นในการอัปเดตและปรับปรุงฟังก์ชันการทำงานได้ตลอดเวลา นับเป็นเทรนด์สำคัญที่วงการยานยนต์ประเทศไทยต้องเตรียมพร้อม
“จริงๆ แล้ว AI กับรถยนต์เป็นสิ่งที่คู่กันมานาน AI มีหลายเลเยอร์ รถยนต์เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เอไอมาตั้งแต่แรก หลายๆ คนอาจจะคุ้นเคยกับ Variable Valve ที่มาช่วยคำนวณอัตราส่วนออกซิเจนกับน้ำมันในห้องเผาไหม้ ซึ่งเป็นเรื่องของการนำ AI เข้ามาใช้ ปัจจุบันเทคโนโลยีพัฒนาไปไกลกว่านี้แล้ว นี่คือวิวัฒนาการของรถยนต์”
นอกจากนี้ในส่วนของระบบเซฟตี้ของรถยนต์ในอดีตจะพูดถึงระบบนิรภัย เป็นระบบถุงลม ปัจจุบันมีระบบเข้ามาช่วยก่อนเกิดเหตุ ก่อนที่จะชนมันเบรกให้เราโดยการใช้ระบบอัจฉริยะ ระบบสมองกลเข้ามาช่วยประมวลผล เช่นระบบ LiDAR ในรถยนต์ (Light Detection and Ranging) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ลำแสงเลเซอร์สร้างแผนที่ 3 มิติของสภาพแวดล้อมรอบๆ รถยนต์ ช่วยให้สามารถตรวจจับวัตถุต่างๆ เช่น คนเดินเท้า ยานพาหนะ และสิ่งกีดขวางได้อย่างแม่นยำ
ระบบอัจฉริยะเหล่านี้ทำให้รถยนต์สามารถขับเคลื่อนได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และจะมีการพัฒนาเทคโนโลยีให้ฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ
ไทยพร้อมแค่ไหน? ต่อการนำ AI เข้ามาพัฒนายานยนต์สมัยใหม่
ประเทศไทยมีปัจจัยพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีความแข็งแรงในเรื่องของการผลิตรถยนต์ ปัจจุบันยังเป็นอันดับสิบของโลกอยู่ แม้ว่าปีที่แล้วยอดการผลิตจะลดลงบ้างแต่ถือว่าไทยยังเป็นฐานการผลิตที่สำคัญ หัวใจสำคัญที่ทำให้ไทยเข้มแข็งคือการมีซัพพลายเชนที่แข็งแรง มีผู้ประกอบการชิ้นส่วนจำนวนมากถึง 2}300-2,400 ราย ทำให้หลายบริษัท OEM เลือกไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์
“ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยแข็งแรงในเรื่องของแมคคานิค เก่งในเรื่องเครื่องยนต์สันดาป ตอนนี้มี EV เข้ามา และรัฐบาลกำลังพยายามส่งเสริมการผลิตแบตเตอรี่ในประเทศ เร็วๆ นี้บีโอไอก็พยายามส่งเสริมการลงทุนทำโรงงานผลิตแบตเตอรี่ต้นน้ำ แต่มีอีกซัพพลายเชนที่ไทยยังไม่ค่อยแข็งแรงคือส่วนที่เป็นระบบอัจฉริยะ (Smart System) ซึ่งจะเป็นอีกกลุ่มผู้เล่นในอุตสาหกรรมยานยนต์”
ดร.เกรียงศักดิ์แสดงความคิดเห็นว่าในอดีตงานเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ค่ายรถมักจะเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทผลิตยาง เบรก หรือระบบเครื่องยนต์ ฯลฯ ปัจจุบันเวลาเปิดตัวพาร์ทเนอร์จะพูดถึงบริษัททางด้านไอที คีย์พาร์ทเนอร์ของค่ายรถจะเป็น Nvidia Google หรือ Amazon บริษัทเหล่านี้เข้ามาอยู่ในซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมรถยนต์มากขึ้น ทำให้เกิดคำถามตามมาว่าผู้ประกอบการไทยพร้อมแค่ไหน? กับการพัฒนาสู่ยานยนต์สมัยใหม่ที่นำ AI เข้ามาพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์อัจฉริยะ
“ในอนาคตจะต้องเปลี่ยน Ecosystem ของอุตสาหกรรมยานยนต์ ถ้าไทยต้องการเป็นฮับในการผลิตรถยนต์ที่แข็งแรง ต้องรักษาจุดแข็งของการมีซัพพลายเชนที่เข้มแข็งของอุตสาหกรรมยานยนต์ และต้องเริ่มพัฒนาผู้ประกอบการด้าน Smart System และ AI มากขึ้น ต้องมีซัพพลายเออร์กลุ่มใหม่ๆ คนเขียนซอฟท์แวร์ คนเขียนโคดดิ้ง ผลิตไมโครชิป ฯลฯ เข้ามาอยู่ในซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมากขึ้น”
นี่คือมุมมองของ ของ ดร.เกรียงศักดิ์ วงศ์พร้อมรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ ที่วิเคราะห์สถานการณ์ยานยนต์ในประเทศไทยที่กำลังก้าวสู่ยุคการนำปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เข้ามาพัฒนายานยนต์สมัยใหม่ที่ให้ความสำคัญกับระบบอัจฉริยะต่างๆ ทั้งในด้านความปลอดภัย และความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต
22 พ.ค. 2568