Last updated: 8 ก.ย. 2568 | 212 จำนวนผู้เข้าชม |
GLC ถือว่าเป็นหัวใจหลักของ Mercedes-Benz เพราะขายดีที่สุดในกลุ่ม SUV มาหลายปี พอแบรนด์ประกาศว่า “GLC จะมีเวอร์ชันไฟฟ้าล้วน (BEV : battery electric vehicle) นั่นไม่ใช่แค่การเพิ่มรุ่น แต่เป็นการวาง “หมากสำคัญ” ในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค EV ของค่ายดาวสามแฉกเลยทีเดียว
สิ่งที่ Mercedes ทำคือเอา DNA ของ GLC เดิม ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความหรู ความนุ่ม และความมั่นใจในการขับ มาผสมกับ เทคโนโลยี EV ใหม่ล่าสุด ที่พัฒนาเองเกือบทั้งหมด จนได้ SUV ไฟฟ้าที่ตั้งเป้าให้เป็น “มาตรฐานใหม่ของรถหรูไฟฟ้า”
แพลตฟอร์มไฟฟ้า + สถาปัตยกรรม 800 ที่ชาร์จเร็วที่สุดในคลาส
The all-new Mercedes-Benz GLC with EQ Technology ใช้โครงสร้าง BEV ล้วน ไม่ใช่การดัดแปลงจากเวอร์ชั่นเครื่องยนต์สันดาป จุดเด่นคือ สถาปัตยกรรม 800V เทียบเท่า Porsche Taycan หรือ Hyundai IONIQ 5 ทำให้รองรับการชาร์จเร็ว DC ได้สูงสุด 320 kW (ยังเป็นตัวเลขเบื้องต้น) ซึ่งถือว่าเร็วสุดในคลาส SUV หรู ซึ่งนอกจากจะลดเวลาในการชาร์จแล้ว ยังทำให้ ระบบไฟฟ้าทำงานมีประสิทธิภาพมากกว่าเทคโนโลยี 400V ทั่วไป
แพลตฟอร์มใหม่นี้มีความยาวฐานล้อเพิ่มขึ้นอีก 8 เซนติเมตร ทำให้ได้ห้องโดยสารที่ใหญ่ขึ้น การยึดเกาะถนนดีขึ้น
แบตเตอรี่เจเนอเรชันใหม่
Mercedes มีแบตเตอรี่หลายระดับความจุ (multi-variant battery) ให้เลือก โดยรุ่นท็อปใช้ เซลล์ที่มีขั้วบวก (anode) ที่ผสมซิลิคอนออกไซด์เข้ากับกราไฟต์ (Silicon Oxide + Graphite) เพื่อเพิ่มความหนาแน่นของพลังงาน (Wh/kg) ให้สูงเป็นพิเศษ ข้อดีก็คือทำให้แบตเตอรี่มีน้ำหนักเบาลง ประสิทธิภาพดีกว่า และวิ่งไกลขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดแบต มาพร้อมระบบจัดการความร้อนทำงานคู่กับ Heat Pump อัจฉริยะ ช่วยคงระยะทางวิ่งแม้ใช้งานในสภาพอุณหภูมิติดลบ
Mercedes-Benz เลือกใช้แบตเตอรี่แบบ Lithium-Ion ขนาด 94 kWh สำหรับทุกรุ่นย่อย โดยเปิดตัวด้วยเวอร์ชัน GLC 400 4MATIC ซึ่งใช้มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ (Twin-Motor) ให้กำลังรวม 483 แรงม้า ขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Full-Time ระบบเดียวกับที่ใช้ใน S-Class EV อย่าง EQS
Mercedes เคลมว่าทำระยะทางสูงสุดได้ 443 ไมล์ หรือราว 713 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน WLTP พร้อมรองรับ DC Fast Charging ถึง 330 kW ใช้เวลาชาร์จเพียง 10 นาทีก็วิ่งได้ 300 กิโลเมตร
โปรแกรมทดสอบสุดโหด – ไม่ใช่แค่ “วิ่งได้” แต่ต้อง “วิ่งได้แบบ Mercedes”
Mercedes-Benz มีสนามทดสอบประจำที่ที่เมืองอาร์เยปล็อก (Arjeplog) ประเทศสวีเดน ใกล้เส้นอาร์กติกเซอร์เคิล แถวๆขั้วโลกเหนือ! โดยจำลองการขับทั้งบนน้ำแข็ง (low friction) หิมะหนา และเนินสูง 20% ปกติรถทุกคันต้องผ่านการทดสอบมากกว่า 500 รายการ แต่เพราะเป็น EV เลยบวกเพิ่มอีก 100+ รายการ ซึ่งเป็นการทดสอบระบบไฟฟ้า (eDrive) และการชาร์จโดยเฉพาะ เช่น cold start เมื่อแบตเย็นจัด ระบบชาร์จในสภาพอากาศหนาวจัด การรีเจนบนพื้นถนนที่ลื่น และ ESP tuning สำหรับแรงบิดมอเตอร์ที่ตอบสนองไว ซึ่งเป็นความท้าทายใหม่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
หลังจากผ่านการทดสอบที่ความหนาวติดลบโหดๆแบบขั้วโลกเหนือ ก็ต้องไปเจอการทดสอบในฤดูร้อนภายใต้แสงแดดจัดและอุณหภูมิสูงถึง 50 องศาเซลเซียส ที่รัฐแอริโซนาและทะเลทรายในแอฟริกาใต้อีกรอบ เพื่อพิสูจน์ว่า “EV คันนี้เอาอยู่ทุกสถานการณ์”
ด้านดีไซน์โดดเด่นสะดุดตาด้วยกระจังหน้าสไตล์ Black Panel ขนาดใหญ่ ใส่ลูกเล่นไฟ LED ส่องสว่างไว้ 942 จุด พร้อมโลโก้สามแฉกที่เรืองแสงได้
ไฟหน้าและไฟท้ายมาในดีไซน์ใหม่ โดย “ดาวสามแฉก” ถูกใช้เป็น Motif ทั้งใน DRL และ Signature Light ทั้งงหน้าและหลัง
ห้องโดยสารภายกว้างขวาง ติดตั้ง MBUX Hyperscreen ขนาด 39.1 นิ้ว พาดยาวจากฝั่งคนขับจรดฝั่งผู้โดยสาร ทำหน้าที่จอแสดงผลไร้รอยต่อที่เชื่อม 3 หน้าจอทั้ง Digital Cluster, Infotainment และ Passenger Display เข้าด้วยกัน
ติดตั้งระบบปฏิบัติการ MB.OS (Mercedes-Benz Operating System) หรือขับเคลื่อนด้วยระบบ AI (MB.OS superbrain) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการทำงานทุกส่วนของรถ ตั้งแต่ระบบความบันเทิง ไปจนถึงระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง MB.DRIVE ที่ใช้กล้องภายนอกถึง 10 ตัว เซ็นเซอร์เรดาร์ 5 ตัว และเซ็นเซอร์อัลตราโซนิก 12 ตัว
ช่วงล่าง AIRMATIC ระบบ Rear-Axle Steering สามารถเชื่อมต่อกับข้อมูล Google Maps เพื่อรู้ว่าช่วงไหนของถนนควรย่อตัวเพื่อให้ aerodynamic เวิร์คสุด เบรกอัปเกรดใหม่ด้วยระบบ Regenerative Braking ที่สามารถปรับได้ 4 ระดับ ทำให้ขับขี่แบบ One-Pedal Driving ได้จริงจังมากขึ้น
ระบบกันสะเทือนแบบถุงลม (Air Suspension) และระบบเลี้ยวล้อหลัง (Rear-axle Steering) ที่ช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ และระบบเบรกแบบใหม่ One-Box ที่รวม ESP®, แม่ปั๊มเบรก และ brake booster เข้าเป็นโมดูลเดียว ให้ฟีลแป้นเบรกมั่นใจแม่นยำ ทั้งตอนเบรกจริงและรีเจนเนอเรชันเบรก ให้ความรู้สึกในการเบรกที่สม่ำแม่นยำ การทำงานของระบบเบรกใหม่ + รีเจน ผสมผสานกันได้สมูทแบบ premium feel
สรุป The all-new Mercedes-Benz GLC with EQ Technology
Mercedes-Benz ไม่ได้ทำ GLC EV แค่เพื่อให้ “มีรถไฟฟ้าในไลน์อัพ” แต่พวกเขาใช้รุ่นนี้เป็น ตัวพิสูจน์ว่า EV หรูคันนี้มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่หมดทั้งระบบขับเคลื่อน ชาร์จเร็ว และจัดการความร้อน ประสิทธิภาพสูง แต่ยังคงความหรูหราและความปลอดภัยตามแบบฉบับ Mercedes-Benz
Mercedes-Benz มีแผนเจาะตลาดด้วยรุ่น GLC 400 4MATIC มอเตอร์ไฟฟ้า 489 แรงม้า (PS) หรือ 360 กิโลวัตต์ และแบตเตอรี่ที่ขับขี่ไกลสูงสุด 713 กม. ต่อชาร์จ (WLTP)
ที่มา : Mercedes-Benz Media UK