Last updated: 12 พ.ย. 2568 | 329 จำนวนผู้เข้าชม |
โตโยต้า เปิดตัวครั้งแรกของโลก กับ TOYOTA HILUX ภายใต้ชื่อใหม่ TOYOTA HILUX TRAVO และ HILUX TRAVO-e กับคอนเซ็ปต์ “GREATER TOGETHER…สู่ความยิ่งใหญ่ไปด้วยกัน”
การเปิดตัวรถกระบะของค่ายโตโยต้าในครั้งนี้ ถือเป็นการสานต่อตำนานรถกระบะในประเทศไทยที่คนไทยคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีกับการเห็นรถกระบะในทุกมิติของชีวิต ทั้งการนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ ขนส่งสินค้า การเดินทางในชีวิตประจำวัน หรือเติมเต็มไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย

รถกระบะไม่ใช่แค่พาหนะสำหรับเดินทาง แต่เป็นเหมือนเพื่อนคู่ใจจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของคนไทย แนวคิดนี้คือคัมภีร์แห่งความสำเร็จของรถโตโยต้าสายพันธ์กระบะในเมืองไทยที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่องยาวนานมากว่า 60 ปี และจะยังคงเป็นสูตรหลักที่ “โตโยต้า” นำมาใช้ในการพัฒนารถกระบะรุ่นต่อไป

มร.ไซม่อน ฮัมฟรีส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านแบรนด์ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน ประเทศญี่ปุ่น / มร.นิค โฮจิออส ผู้จัดการอาวุโส โตโยต้าดีไซน์ ประเทศออสเตรเลีย / ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม / ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม / นายฐาปกรณ์ กุลเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม / นางสาวจิรัฐิติกาล จันทราทิพย์ ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี / นายกลินท์ สารสิน ประธานคณะกรรมการ และ มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ พร้อมกับ นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด นางสาวอัญญารัตน์ สุทธิเบญจกุล หัวหน้าวิศวกรระดับภูมิภาค บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด และ มร.ฮาคุโฮ โช เจ้าของแชมป์กีฬาซูโม่ระดับโยโกสุนะ (Yokozuna) ชื่อดัง ลำดับที่ 69 จากประเทศญี่ปุ่น ร่วมแถลงข่าวเปิดตัว TOYOTA HILUX TRAVO และ HILUX TRAVO-e รถกระบะรุ่นใหม่ล่าสุด เป็นครั้งแรกของโลกที่ประเทศไทย เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค
การแนะนำรถกระบะไฮลักซ์รุ่นใหม่ เจเนอเรชันที่ 9 ครั้งแรกของโลก (World Premiere) ภายใต้ชื่อ “TOYOTA HILUX TRAVO” และ HILUX TRAVO-e ในยุคที่โลกกำลังตื่นตัวกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขณะที่ประเทศไทยได้วางเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero) ในปี ค.ศ. 2050 นับเป็นส่งสัญญานของการเดินทางครั้งสำคัญของค่ายยานยนต์ยักษ์ใหญ่ “โตโยต้า”

กว่าจะมาเป็น TOYOTA HILUX TRAVO และ HILUX TRAVO-e
โตโยต้า ได้เปิดเผยถึงจุดเริ่มต้นของก้าวสำคัญที่โตโยต้า และคนไทยได้ร่วมกันสร้างขึ้นมาเมื่อปีพ.ศ. 2547 คือ โครงการ IMV (Innovative International Multi-purpose Vehicle) โดย IMV คือโครงการผลิตรถกระบะขนาด 1 ตัน ภายใต้ชื่อรถกระบะ ไฮลักซ์ (รุ่นที่ 7) รถยนต์อเนกประสงค์ ฟอร์จูนเนอร์ (และรถมินิแวน อินโนวาในต่างประเทศ) รวมถึงเครื่องยนต์ และชิ้นส่วนอะไหล่ เพื่อจำหน่ายภายในประเทศและส่งออก ด้วยมูลค่าการลงทุน 30,000 ล้านบาท
มูลค่าการลงทุน 3 หมื่นล้าน ณ ขณะนั้น ค่อนข้างสูง เพราะโตโยต้ามีวัตถุประสงค์ที่จะผลิตรถยนต์คุณภาพสูง สามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค โครงการดังกล่าวได้ผ่านการทุ่มเท วิจัย และพัฒนา เพื่อให้ได้รถยนต์ที่ตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้ใช้รถยนต์ในทุกภูมิภาคทั่วโลก
แน่นอนว่าโครงการ IMV ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ส่งผลให้ โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย เปลี่ยนบทบาทจากฐานการผลิตที่เน้นตลาดภายในประเทศ สู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถกระบะออกไปจำหน่ายต่างประเทศ

ความสำเร็จของกระบะ TOYOTA HILUX
ปัจจุบัน HILUX ที่ผลิตในไทยได้ถูกส่งออกไปยัง 133 ประเทศทั่วโลก มียอดส่งออกสะสมกว่า 4.6 ล้านคัน มีการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศด้วยสัดส่วนสูงถึง 95% ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้กับคนไทย ผ่านการจ้างงานกว่า 275,000 คน ประกอบด้วยพนักงานในเครือ พนักงานของผู้แทนจำหน่ายฯ 153 แห่ง และผู้ผลิตชิ้นส่วนกว่า 290 แห่งทั่วประเทศ ส่งผลให้ HILUX มีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย คิดเป็นกว่า 30% ของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งหมด และมีส่วนช่วยสร้าง GDP ให้ประเทศไทยมากถึง 3% ต่อปี สะท้อนถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจอันมหาศาลตลอดห่วงโซ่อุปทานที่เกิดขึ้น
ทั้งหมดนี้คือบทพิสูจน์ว่า HILUX ไม่ได้เป็นเพียงรถกระบะ แต่คือ “รถกระบะมหาชน” ที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศไทย

ความสำเร็จที่ดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องของรถกระบะ HILUX จึงมิอาจปฏิเสธได้ว่าการเปิดตัว TOYOTA HILUX TRAVO และ HILUX TRAVO-e รถกระบะไฮลักซ์รุ่นใหม่ เจเนอเรชันที่ 9 ภายใต้โครงการ IMV ในยุคที่รัฐบาลส่งเสริมให้มีการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์พลังงานสะอาด (Green Mobility) นั้น มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่า “โตโยต้า” จะนำสูตรสำเร็จเดิมมาต่อยอดและพัฒนาให้ตอบโจทย์การใช้งานและไลฟ์สไตล์ของคนไทยในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับปัญหาภาวะโลกร้อนอย่างไร
ดูเหมือนว่า บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จะเตรียมความพร้อมในด้านนี้มาพอสมควร เพราะได้มีการนำทีมของวิศวกรชาวไทย HILUX TRAVO ลงพื้นที่รับฟังเสียงของผู้ใช้ชาวไทยอย่างใกล้ชิดในทุกมิติ พร้อมนำข้อมูลมาปรับปรุงและต่อยอดการพัฒนา เพื่อตอบโจทย์การใช้งานและไลฟ์สไตล์ของคนไทยได้อย่างดีที่สุด
คอนเซ็ปต์ดีไซน์ “ผสานความแข็งแกร่งเข้ากับความคล่องตัว”
หลังจากทีมวิศวกรทำงานมาอย่างหนักก็ได้ดีไซน์ใหม่ ทั้งการออกแบบภายนอกและภายใน ภายใต้ดีไซน์คอนเซ็ปต์ “Tough & Agile” ที่ผสาน “ความแข็งแกร่ง เข้ากับ ความคล่องตัว” มาพร้อมกับการออกแบบด้านหน้าด้วยแนวคิด “Cyber Sumo” ที่เป็นท่าเตรียมพร้อมในการต่อสู้ Shikiri Pose แสดงให้เห็นถึงความ แข็งแกร่ง (Stable) แข็งแรง (Strong) และ มั่นคง (Steady)
การออกแบบภายในใช้แนวคิด “Robust Simplicity” เน้นความเรียบง่ายแต่ทรงพลัง ทุกฟังก์ชันใช้งานได้จริง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และทันสมัยที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัย Toyota Safety Sense เวอร์ชันล่าสุด และอุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอีกมากมาย
HILUX TRAVO ให้ความสำคัญกับการบังคับควบคุม และความนุ่มนวลในการขับขี่เป็นพิเศษ จึงได้แนะนำเทคโนโลยี "Dynamic Cloud" ในการพัฒนาองค์ประกอบต่างๆ ที่ส่งผลต่อการขับขี่ เพื่อมอบการขับขี่ที่นุ่มนวล บังคับควบคุมแม่นยำ และทรงตัวเยี่ยม โดยทุกรุ่นจะมาพร้อมกับขุมพลัง GD Super Power ขนาด 2.8 ลิตร ที่ให้กำลังสูง มีการปรับปรุงความประหยัดน้ำมันให้ดียิ่งขึ้น โดยประหยัดน้ำมันมากกว่าเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร สูงสุดถึง 5.8% และมากกว่าเครื่อง 2.8 ลิตร รุ่นเดิมถึง 7.5%

นอกจากรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล โตโยต้า ได้นำเสนออีกหนึ่งทางเลือกตามหลักคิด Multi-Pathway กับรถกระบะไฟฟ้า “HILUX TRAVO-e” ซึ่งเป็นการแนะนำรถไฟฟ้าแบบ Body-on-frame รุ่นแรกของโตโยต้าที่มีการวางจำหน่ายจริง พัฒนาขึ้นโดยยึดถือหลักการ QDR (Quality-Durability-Reliability) อันเป็นหัวใจของโตโยต้า และยังคงสมรรถนะ ความทนทานตามมาตรฐานรถกระบะ HILUX เสริมด้วยเทคโนโลยี "Diamond Guard" ช่วยปกป้องแบตเตอรี่ และชุดขับเคลื่อนไฟฟ้า ช่วยให้คุณใช้งาน TRAVO-e ได้อย่างมั่นใจในความปลอดภัย ทั้งการใช้งานส่วนบุคคล การบรรทุกและการขับขี่แบบออฟโรด

HILUX รุ่นใหม่กำลังพัฒนาไปพร้อมกับยานยนต์ไฟฟ้า
นางสาวอัญญารัตน์ สุทธิเบญจกุล หัวหน้าวิศวกรระดับภูมิภาค บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย จำกัด กล่าวถึงแนวคิดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ครั้งนี้ว่า “วันนี้เป็นการเริ่มประวัติศาสตร์บทใหม่สำหรับ HILUX และยังนับเป็นบทใหม่สำหรับการวิจัย พัฒนา และการผลิตในประเทศไทย นี่คือผลลัพธ์จากความทุ่มเทตลอดหลายปี จากบุคลากรผู้มีความสามารถและความเชี่ยวชาญจากกลุ่มประเทศในเอเชีย และกลุ่มประเทศโลกใต้ ภายใต้การทำงานใกล้ชิดกับสำนักงานใหญ่ของ Toyota ประเทศญี่ปุ่น ควบคู่ไปกับการรับฟังคำแนะนำจากเสียงของลูกค้า ทั้งจากประเทศไทยและจากทั่วโลก
HILUX ได้รับการยอมรับจากผู้ใช้งานจริงจาก 7 ใน 8 ภูมิภาคทั่วโลก สำหรับ HILUX รุ่นใหม่นี้ พวกเราได้เดินทางไปทั่วทุกภูมิภาค ตั้งแต่ทะเลทรายในตะวันออกกลาง ที่ราบสูงในอเมริกาใต้ ทุ่งหญ้าในแอฟริกา ไปจนถึงพื้นที่ห่างไกลของออสเตรเลีย และพื้นที่หนาวจัดของยุโรป
แต่ละตลาดต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เราได้เรียนรู้จากสภาพท้องถนน ภูมิอากาศ และไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่แตกต่างกัน แล้วนำข้อมูลเชิงลึกเหล่านั้นมาพัฒนาเป็น แม่แบบในการพัฒนา (Blueprint)
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราตั้งใจพัฒนาจากในระดับภูมิภาค เพื่อออกแบบรถให้สอดคล้องกับสภาพที่แตกต่างกันของแต่ละพื้นที่ ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษามาตรฐานระดับโลกของโตโยต้าเอาไว้ ทั้งในด้านความปลอดภัยและสมรรถนะ ผลลัพธ์ก็คือรถยนต์ที่กลายเป็น “เพื่อนคู่ใจและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต” อย่างแท้จริง

นอกจากนี้ HILUX รุ่นใหม่กำลังพัฒนาไปพร้อมกับยานยนต์ไฟฟ้า (electrification) เทคโนโลยีการเชื่อมต่อ(connected technologies) และบริการดิจิทัล (digital services) โดยยังคงยึดมั่นในรากฐานเดิม ทุกองค์ประกอบตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการทดสอบ ล้วนถูกขับเคลื่อนด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างยานยนต์ที่น่าเชื่อถือ ยืดหยุ่น และพร้อมสำหรับอนาคต ความหลงใหลนี้ผลักดันให้เราสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ในขณะที่ยังคงยึดมั่นในคุณค่าของ QDR (คุณภาพ ความทนทาน และความน่าเชื่อถือ)



ประการแรก ความน่าเชื่อถือคือสิ่งสำคัญอันดับแรกที่ลูกค้าของเราต้องการมากที่สุด จากเส้นทางภูเขาที่สมบุกสมบัน สู่ถนนในเมืองที่พลุกพล่าน HILUX รุ่นใหม่ได้รับการพัฒนาให้พร้อมรับมือได้กับทุกสภาพถนน เพื่อให้สามารถเดินทางไปทุกหนทุกแห่ง
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ไฮลักซ์ใหม่ มีการเสริมความแข็งแกร่งของตัวถัง ปรับจูนประสิทธิภาพช่วงล่างให้เหมาะสม และนำระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า (EPS) มาใช้ เพิ่มความมั่นใจในการขับขี่และควบคุมได้ง่ายยิ่งขึ้น ผลลัพธ์คือ ยานยนต์ที่ไม่เพียงแค่ทนทานต่อสภาวะที่ยากลำบาก แต่ยังอยู่รอดได้ดีในสภาวะการ์ณเหล่านั้น

เป้าหมายของโตโยต้าคือไม่เพียงสร้างรถที่แข็งแกร่งขึ้น แต่ยังฉลาดขึ้นด้วย HILUX ใหม่ออกแบบให้มีความสดใหม่ทั้งรูปลักษณ์ทั้งภายนอกและภายใน พร้อมรองรับการตกแต่งเพิ่มเติมเองได้ตามความต้องการเฉพาะของแต่ละคน เรายังเพิ่มเทคโนโลยีความปลอดภัยและระบบอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เช่น Toyota Safety Sense 3 (TSS 3), Panoramic View Monitor (PVM) และ Multi-Terrain Monitor (MTM) นวัตกรรมเหล่านี้ช่วยเพิ่มการปกป้องผู้ขับขี่ให้ดียิ่งข้นในสถานการณ์จราจรที่หลากหลาย นอกจากนี้ ระบบ PVM และ MTM ให้ภาพแบบเรียลไทม์ของพื้นที่รอบตัวและใต้ท้องรถ เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถผ่านเส้นทางที่ท้าทายได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย — ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ใดก็ตาม

ในขณะที่โลกกำลังก้าวไปสู่สังคมแห่งความเป็นกลางทางคาร์บอน โตโยต้ามีเป้าหมายชัดเจน “จะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” โตโยต้าเชื่อว่าไม่มีทางออกเดียวที่ตอบโจทย์ลูกค้าทั้งหมดได้ แต่เราต้องมี “ทางเลือกที่หลากหลาย” เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานและวิถีชีวิตของแต่ละคน HILUX ใหม่พร้อมแล้วสำหรับความจริงนี้ ด้วยการพัฒนาให้ก้าวข้ามเครื่องยนต์สันดาปแบบเดิม เพิ่มทางเลือกใหม่ของระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (BEV – Battery Electric Vehicle) เพื่อให้ตอบโจทย์ทุกตลาด ทุกลูกค้า และทุกความต้องการ แนวทาง Multi-Pathway นี้คือการสร้างโซลูชันการเดินทางที่ครอบคลุม ปฏิบัติได้จริง และยั่งยืนสำหรับทุกคน

HILUX BEV รุ่นใหม่ได้รับการออกแบบให้ช่วยลดมลพิษทางอากาศ ขณะเดียวกันยังคงสมรรถนะของรถแบบ Body-on-Frame ไว้ครบถ้วน ทั้งความสามารถในการลุยออฟโรด การลุยน้ำลึก และการบรรทุกหรือการลากจูง เป้าหมายของเราคือทำให้ HILUX ตอบโจทย์ทุกกลุ่ม ตั้งแต่ผู้ใช้ในเมือง นักผจญภัย ไปจนถึงผู้คนที่ทำงานในอาชีพต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตและสถานการณ์พลังงานของแต่ละประเทศ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนของโลก
นวัตกรรมทั้งหมดนี้ตอกย้ำบทบาทของ HILUX ในฐานะ “เพื่อนคู่ใจและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต” พร้อมเติบโตไปด้วยกันกับเจ้าของรถ และคงคุณค่าไปตลอดอายุการใช้งาน ความหลากหลายและความยืดหยุ่นนี้ทำให้ HILUX ยังคงตอบโจทย์ทั้งความต้องการของวันนี้ และความท้าทายในวันพรุ่งนี้”

การตีความใหม่ของรถกระบะในตำนาน ถูกสร้างขึ้นโดยทีมงานที่เข้าใจลูกค้ามากที่สุด
มร.นิค โฮจิออส ผู้จัดการอาวุโส โตโยต้าดีไซน์ ประเทศออสเตรเลีย กล่าวถึงแนวคิดในการออกแบบไฮลักซ์ ทราโว่ ว่า “ ลูกค้าทั่วโลกที่มีความต้องการในใช้งานที่หลากหลาย จะชอบ HILUX รุ่นใหม่ อย่างแน่นอน เพราะเป็นรถที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยดีไซน์ใหม่ของ HILUX มีความโดดเด่นและทรงพลัง การออกแบบเป็นความร่วมมือระหว่างทีมออกแบบจากออสเตรเลีย และทีมวิศวกรจากประเทศไทย ใช้เวลากว่า 10 ปีในการสร้างให้สำเร็จขึ้นมา
รถคันนี้พัฒนาขึ้นจากผู้ที่เข้าใจว่า ผู้ใช้ HILUX ทั่วโลกมีความต้องการอย่างไร มาร่วมกันสร้าง HILUX รุ่นใหม่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราได้ร่วมพัฒนา HILUX ให้ดียิ่งขึ้นเรื่อย ๆ และยังสร้างรุ่นยอดนิยมอย่าง HILUX GR-S และ Rocco อีกด้วย และตอนนี้ เราได้นำประสบการณ์ทั้งหมดมารวมกัน เพื่อสร้าง HILUX รุ่นที่ 9 อันเป็นการเปิดตำนานใหม่ให้กับ HILUX ซึ่งในช่วงเริ่มต้นของโครงการ เรามีตัวแทนจากหลายประเทศมาร่วมวางแนวทางของผลิตภัณฑ์ให้ชัดเจน เพื่อกำหนดทิศทางของรถรุ่นใหม่นี้ภายใต้เป้าหมายเดียวกัน

“ตัวตนที่แท้จริงของ HILUX” ประกอบด้วย โครงสร้างที่แข็งแกร่งห่อหุ้มด้วยดีไซน์ที่ทันสมัยและทรงพลัง เราตั้งใจสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้รถตอบรับกับทุกความต้องการของผู้ใช้งาน เช่น กระจังหน้าแบบเรียวแต่ดูดุดัน และดีไซน์ด้านหน้าแบบสองชั้น ทำให้ HILUX ใหม่ดูโดดเด่น รวมถึงการใส่ตัวอักษร “T O Y O T A” ทั้งด้านหน้าและด้านหลังในทุกรุ่นย่อย ซึ่งมิใช่แค่เพียงการสื่อถึงชื่อแบรนด์เท่านั้น แต่ยังเป็น “สัญลักษณ์แห่งความไว้วางใจ” เป็นดั่งคำสัญญาว่ารถคันนี้จะตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ใช้งานได้ และเป็น “รถแห่งโอกาสไร้ขีดจำกัด”
ภายในของ HILUX ใหม่ ปรับเปลี่ยนให้ล้ำสมัยและใช้งานได้จริง เปรียบเสมือน”ชุดออกรบ ที่พร้อมสำหรับทุกสถานการณ์ กับดีไซน์ภายในที่ดูแข็งแรงแต่ทันสมัย อุปกรณ์ต่าง ๆ จัดวางอย่างเหมาะสม ใช้งานสะดวก และเทคโนโลยีก็พัฒนาไปอีกระดับ ทำให้ภายในของรถเป็นพื้นที่เหมาะสมกับ “ทุกการใช้งานและใช้ชีวิตอย่างเต็มที่”
นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ คือการตีความใหม่ของรถกระบะในตำนาน ที่ถูกสร้างขึ้นโดยทีมงานที่เข้าใจลูกค้ามากที่สุด เพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้คนทั่วโลก และเรื่องราวของ HILUX ยังไม่จบแค่นี้ เพราะตราบใดที่ความต้องการของลูกค้ายังพัฒนาไปข้างหน้า HILUX ก็จะพัฒนาไปด้วยเสมอ เพื่อรับใช้ผู้คนในทุกชุมชนบนโลก จากออสเตรเลีย อเมริกาใต้ แอฟริกาใต้ ไปจนถึงยุโรปและเอเชีย
HILUX คือรถในตำนาน เราทำงานร่วมกันเพื่อออกแบบ HILUX รุ่นใหม่ ที่จะสืบสานตำนานนี้ต่อไปในอนาคต ขอให้ทุกท่านรอติดตามผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้นจากเราต่อไป”
10 พ.ย. 2568