Last updated: 25 Sep 2023 | 643 Views |
วิสัยทัศน์หลักของปอร์เช่ที่มีต่อ ‘Mission X’ รถต้นแบบขุมพลังไฟฟ้า 100% ระบบ 900 โวลต์ คือต้องเร็วสุดบนท้องถนน ดาวน์ฟอร์ซมากกว่า 911 GT3 RS รุ่นปัจจุบัน และชาร์จไฟจาก 5-80% ได้ใน 11.25 นาที
วิสัยทัศน์หลักของปอร์เช่ ที่มีต่อ ‘Mission X’ ที่ได้ถูกเปิดเผยออกมาในระหว่างการเปิดตัวรถคันนี้ ซ่อนความหมายบางอย่างว่าวิสัยทัศน์ของปอร์เช่มีขอบเขตเพียงใด? ควรนำไปสู่สายการผลิตหรือไม่?
มาดูจุดมุ่งหมายหลัก 4 ประการที่มีต่อ ‘Mission X’ กัน
- เพื่อสร้างยานพาหนะที่เร็วที่สุดบนท้องถนนอย่างถูกกฎหมายใน Nuerburgring Nordschleife
- เพื่อให้ได้อัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักประมาณ 1PS ต่อกิโลกรัม
- เพื่อให้ได้ดาวน์ฟอร์ซที่มากกว่า 911 GT3 RS รุ่นปัจจุบัน
- เพื่อทำความเร็วในการชาร์จเร็วกว่า Taycan Turbo S ประมาณสองเท่า
'Taycan Turbo S' สามารถชาร์จไฟได้จาก 5-80% ในเวลา 22.5 นาที (Charging time for direct current (DC) with maximum charging power)
นั่นหมายความว่า ‘Mission X’ ต้องสามารถชาร์จไฟได้จาก 5-80% ได้ในเวลา 11.25 นาที
จะยอดเยี่ยมไปกว่านั้นถ้าใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที!
Porsche Mission X ไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้าต้นแบบแห่งอนาคต
ปอร์เช่ให้นิยามคอนเส็ปท์คาร์คันนี้ว่า...
“Mission X” คือวิสัยทัศน์สำหรับก้าวต่อไปที่ยิ่งใหญ่ การทดลองที่น่าตื่นเต้น และการรวมทุก DNA ปอร์เช่มอเตอร์สปอร์ตเข้าไว้ด้วยกัน นี่จึงเป็นสัญญาณเทคโนโลยีสำหรับรถสปอร์ตแห่งอนาคต...เป็นอีกหนึ่งความฝันที่เป็นรูปเป็นร่าง กับนวัตกรรมสู่อนาคต...
เป็นการนำไฮเปอร์คาร์มาตีความใหม่เพื่อเป็นตัวแทนของสมรรถนะและความหรูหราทันสมัย ในขณะเดียวกันรูปทรงและเส้นสายจะแสดงให้เห็นว่าไฮเปอร์คาร์ไม่จำเป็นต้องดูดุดัน พร้อมด้วยการหยิบทุกความโดดเด่นของรถสปอร์ตปอร์เช่ที่เป็นสัญลักษณ์ในทศวรรษที่ผ่านมา เช่น 959 , Carrera GT และ 918 Spyder มาศึกษาแนวคิดและตีความใหม่ให้กับไฮเปอร์คาร์
“มิชชั่น เอ็กซ์” E-Hypercars มาในสี Rocket Matallic ซึ่งเป็นสีที่ออกแบบมาเพื่อรถยนต์ต้นแบบโดยเฉพาะ เผยโฉมครั้งแรกก่อนงานนิทรรศการ '75 Years of Porsche Sports Cars' ณ พิพิธภัณฑ์ Porsche Museum ที่เมืองสตุ๊ตการ์ท เยอรมนี เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
มิติตัวรถมีความยาว 4.5 เมตร กว้าง 2 เมตร สูง 1.2 เมตร ได้รับการออกแบบให้มีเป็น Compact Hypercar ด้วยระยะฐานล้อ 2.73 เมตร แนวทางการดีไซน์เน้นด้านอากาศพลศาสตร์ เส้นสายของรถแสดงออกถึงความปราดเปรียวในแบบรถ hypercars ประตูรถได้รับการดีไซน์ให้เปิดออกไปทางด้านหน้า และยกตัวขึ้นเมื่อใช้งาน ล้ออัลลอยด์คู่หน้ามีขนาด 20 นิ้ว ส่วนคู่หลังมีขนาด 21 นิ้ว
ล้ออัลลอยด์ของ Mission X มีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ไม่ธรรมดา โดยที่เพลาล้อคู่หลังได้รับการติดตั้ง aeroblades แบบกึ่งโปร่งแสง ด้วยงานดีไซน์ที่คล้ายกับกังหันลม ช่วยให้การระบายความร้อนของระบบเบรกดียิ่งขึ้น
ตัวถังมาในโทนสีหรูหรา Rocket Metallic ตัดกับส่วนล่าง โชว์ผิวคาร์บอนเปลือย บานประตูสไตล์เลอม็องติดกับเสา A และหลังคา ไฟหน้า LED แบบแนวตั้งที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่งในอดีต ไฟท้ายแบบ full-length light ติดตั้งแบบลอยตัว โคมมีลักษณะโปร่งใส พร้อมตัวอักษรปอร์เช่เรืองแสง วางตัวยาวตลอดแนวความกว้างของรถ ในระหว่างการชาร์จ ตัวอักษร ‘E’ ของคำว่า Porsche จะกระพริบเป็นจังหวะอย่างต่อเนื่อง ให้ความรู้สึกที่พิเศษยิ่งขึ้น
อีกหนึ่งความพิเศษ คือตราสัญลักษณ์ปอร์เช่ที่ได้รับการออกแบบขึ้นใหม่ ด้วยชิ้นงานโลหะขึ้นเงาที่มันวาวยิ่งขึ้น โครงสร้างรังผึ้ง honeycomb 3 มิติ ปรับพื้นสีทองให้มีความสดใสยิ่งขึ้น ติดตั้งบนฝากระโปรงหน้า พวงมาลัย รวมทั้งฝาปิดดุมล้อในรูปแบบสีขาวดำ
ห้องโดยสารมาแนวล้ำยุค เบาะนั่ง 2 ตัวมีเฉดสีที่ต่างกัน เบาะนั่งฝั่งผู้ขับขี่ตกแต่งด้วยสีเทา Kalahari Grey เบาะนั่งฝั่งผู้โดยสารตกแต่งด้วยสีน้ำตาล Andalusia Brown ตัวเบาะหุ้มด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ CFRP เน้นความเบา พร้อมเข็มขัดนิรภัย 6 จุด พวงมาลัยสไตล์รถแข่งรวมปุ่มควบคุมต่างๆและแป้นเปลี่ยนเกียร์ ฝั่งผู้โดยสารยังติดตั้งหน้าจอดิจิตอล และโมดูลนาฬิกาจับเวลาได้สำหรับการใช้ในสนามแข่งที่สามารถแสดงเวลา รอบ หรือข้อมูลสำคัญของผู้ขับขี่
รถต้นแบบคันนี้จะใช้ขุมพลังไฟฟ้า 100% ระบบ 900 โวลต์ ที่ชาร์จได้เร็วกว่า Taycan Turbo S ถึงสองเท่า แบตเตอรี่ได้รับการติดตั้งบริเวณกึ่งกลางตัวรถบริเวณส่วนหลังของเบาะนั่ง การวางตำแหน่งในลักษณะนี้มีชื่อว่า ‘e-core layout’ เพื่อให้น้ำหนักกดลงตรงกลางของรถ ซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกับการออกแบบรถยนต์แบบเครื่องวางกลาง mid-engine สไตล์ดั้งเดิม
ปอร์เช่มุ่งมั่นเดินหน้าตามแนวทางการพัฒนาเพื่อรักษาบรรทัดฐานสูงสุดของแนวคิด e-performanc…
นี่คือวิสัยทัศน์ของปอร์เช่
ที่มา : Porsche Thailand