X

เพียงแค่บันได

Last updated: 18 ก.ค. 2568  |  121 จำนวนผู้เข้าชม  | 

เพียงแค่บันได

“มินยอมไม่ได้ พี่ทรงปล่อยให้โปรเจ็กต์ของต่อผ่านได้ยังไง” หญิงสาวร่างอวบฟูมฟายน้ำตาทันทีที่โผล่พรวดเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวของกรรมการผู้จัดการ บริษัทพัฒนาที่ดินยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง

            ชายวัยกลางคนที่ยังดูหนุ่มแน่นเพราะขยันออกกำลังกายสม่ำเสมอรู้สึกกระอักกระอ่วนใจต่อท่าทีของฝ่ายหญิงอย่างมาก เขาปล่อยให้เธอตีโพยตีพายอยู่พักใหญ่จนดูผ่อนคลายลงแล้วค่อยเตือนสติด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลตามประสาคนที่ผ่านโลกมามากเพียงพอที่จะคุมอารมณ์ให้ราบเรียบรับได้ทุกสถานการณ์

            “ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูดกันดี ๆ ก็ได้”

            “กลัวทำไมคะ ในเมื่อเรา...” เสียงเธอชะงักลง เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าเรียบเฉย เลยลดท่าทีคุกคามอีกฝ่ายลงบ้าง แต่ก็ไม่วายพยายามรื้อฟื้นความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างเธอกับเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พร้อมทั้งทำท่ากระเง้ากระเง้ากระงอดราวกับสาวรุ่นก็ไม่ปาน

            ทรงภูมิ รู้สึกลำบากใจต่อพฤติกรรมของมิตราที่กำลังนั่งลงบนเก้าอี้เบื้องหน้าเขา ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีกิจธุระอะไรในเวลานี้ แม้ว่าเขาจะพยายามเก็บกลืนความไม่พอใจเอาไว้ แต่ก็อดไม่ได้ที่ลอบถอนหายใจระบายความอัดอั้นตันใจออกมา…

            ….ตั้งแต่ถลำตัวลอบมีความสัมพันธ์ล้ำลึกกับผู้หญิงคนนี้ไม่กี่หน เธอเปลี่ยนแปลงจนไม่เหลือเค้ามินตราคนเดิมที่เคยเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนรู้ว่าอะไรควรไม่ควร มาเป็นคนชอบเสนอหน้าแสดงตัวว่าเป็นคนสนิทเรียกร้องสิทธิพิเศษต่าง ๆ นาๆ เงินเดือนต้องปรับขึ้นในอัตราสูงสุดทุกปี ตำแหน่งก็ต้องมีการโปรโมตขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่มีพนักงานหลายคนมีความเหมาะสมมากกว่า…

            ล่าสุดที่เพิ่งเลื่อนให้เป็นผู้ช่วยผู้จัดการโครงการ เธอยังไม่พอใจอีกหรือไร? เขาครุ่นคิดด้วยความอารมณ์โกรธคุกรุ่นอยู่ในใจภายใต้สีหน้าเรียบเฉย

            “มินไม่เข้าใจ ทำไมโครงการคอนโดกลางเมืองของต่อพงษ์ ได้รับการพิจารณาจากบอร์ด แต่พาราไดซ์คอนโดที่มินเสนออยู่กลางเมืองเหมือนกันกลับถูกเบรกเอาไว้ก่อนล่ะคะ” เธอพูดเสียงสั่นเครือ น้ำตารินไหลออกมาราวกับเจ็บช้ำน้ำใจอย่างแสนสาหัส

            จะว่าไปแล้ว “ทรงภูมิ” ดูคล้ายกับชาชินกับท่าทีของหญิงสาวที่ฟูมฟายน้ำตาอยู่เบื้องหน้า เขาใช้ความสงบนิ่งทอดเวลาออกไปอึดใจเพื่อคิดหาคำตอบที่ดีสำหรับตัวเอง จนกระทั่งเห็นว่า “มินตรา” สงบสติอารมณ์ลงได้บ้าง จึงลอบถอนหายใจอย่างอิดหนาระอาใจ ก่อนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงต่ำ ๆ คล้ายพยามยามเก็บซ่อนความไม่พอใจเอาไว้ในเบื้องลึกของใจ...
            “โปรเจ็กต์ของต่อพงษ์เป็นคอนโดกลางเมืองเหมือนที่มินเสนอก็จริง แต่คอนเส็ปต์ไม่เหมือนกัน ที่บอร์ดเลือกของเขาเพราะเป็นโครงการที่เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ตั้งราคาไม่สูงมากนัก น่าจะขายง่ายกว่า..”

            “พาราไดซ์คอนโดไม่ดีตรงไหนคะ ทำโครงการหรูขายคนรวยน่าจะได้กำไรมากกว่านะคะ”
            “เปล่า” เขาปฏิเสธเสียงนุ่ม “โครงการของมินดีทุกอย่าง แต่คอนโดคนรุ่นใหม่มีความเสี่ยงน้อยกว่าเหมาะกับเศรษฐกิจช่วงนี้ ถ้าตัดสินใจเลือกสร้างโครงการผิดพลาด ผมเป็นคนแรกที่ต้องรับผิดชอบเต็ม ๆ”   

            “พัฒนาโครงการขายคนรายได้สูงไม่น่าจะขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจ ยังไงๆ คนกลุ่มนี้ก็มีกำลังซื้อมากกว่าคนจนนะคะ” มินตราพยายามยกเหตุผลมาโต้แย้ง
            “โครงการของต่อพงษ์เน้นขายคนรุ่นใหม่ ที่เป็นคนชั้นกลาง ไม่ใช่คนจน” เขาพูดด้วยเสียงเข้มขึ้น

            “แล้วทำโครงการขายคนรวยมันผิดตรงไหน? เมื่อหาเหตุผลโน้มน้าวใจนายให้เห็นดีเห็นงามด้วยไม่ได้ผล เธอจึงย้อนถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ตามประสาคนที่ไม่ยอมรามือกับอะไรง่าย ๆ

            “มันไม่ใช่เรื่องถูกผิด มินต้องเข้าใจว่าผมเป็นผู้บริหาร การตัดสินใจอะไรก็ตามที่เสี่ยงทำให้บริษัทเจ๊ง ผมจะไม่ทำเป็นอันขาด” เขาแย้งด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

            “ขายของคนรวยยังไงก็ไม่เจ๊ง มินไม่ยอมให้ต่อพงษ์ข้ามหัวไปเป็นผู้จัดการโครงการ จำไว้นะถ้าพี่ทรงยอมให้โปรเจ็กต์นี้ผ่านล่ะก็ คอยดูละกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

            มินตรายื่นคำขาดก่อนผลุนผลันออกไปจากห้องทำงานส่วนตัวของทรงภูมิด้วยอารมณ์เดือดดาลสุดขีด

            แทนที่จะพยายามตามตัว “มินตรา” มาพูดคุยกันให้รู้เรื่องเหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา คราวนี้เขากลับนั่งนิ่งเงียบจมอยู่ในเก้าอี้ทำงาน ด้วยประสบการณ์ที่เคี่ยวกรำมาทั้งในด้านการทำงาน และการใช้ชีวิตที่ล้มลุกคลุกคลานมาหลายครั้งหลายคน ทำให้เขาตัดสินใจว่าจะไม่ยอมเต้นตามเกมของเธออย่างเด็ดขาด

            “ทรงภูมิ” หยิบบุหรี่มาจุดสูบแล้วพ่นควันอย่างช้า ๆ เพื่อคลายเครียดจากปัญหาที่กำลังตั้งเค้าและส่อจะเป็นพายุใหญ่ แน่นอนถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ก่อนที่เขากับเธอจะมีอะไรต่อมิอะไรด้วยกัน ปัญหาแค่นี้เป็นเรื่องเล็กน้อย และไม่เป็นเรื่องยากที่จะตัดสินใจให้เด็ดขาดไปเลย

            แต่ตอนนี้....มีบางสิ่งบางอย่างทำให้เขาต้องคิดหนัก หรือว่าถึงเวลาที่ต้องเลือกระหว่างความพอใจส่วนตัวที่ตอนนี้เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าเป็นความสุขหรือทุกข์ กับความเติบโตในทิศทางที่สร้างสรรค์ของบริษัทฯ ที่ให้ความสำคัญกับการมีพื้นที่ให้คนที่มีความสามารถมีโอกาสได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่

            ถ้าจำเป็นเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราควรเลือกสิ่งใด? ณ เวลานี้คล้ายมีคำตอบผุดพรายขึ้นในความคิด ทว่าเขาก็ยังไม่ตัดสินใจ เนื่องเพราะต้องการเวลาในการคิดอย่างรอบคอบ เพื่อให้ไม่เกิดความผิดพลาดจนเกินกว่าที่จะเยียวยาได้ทันท่วงที

             สามปีที่แล้ว “มินตรา” เพิ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง เธอสมัครเข้ามาทำงาน บริษัท ทรงภูมิ พร็อพเพอร์ตี้  จำกัด ด้วยเกรดเฉลี่ยที่ค่อนข้างสูง ด้วยบุคลิกที่คล่องแคล่วมั่นใจ ทั้งยังหน้าสวยแลดูมีออร่า ทำให้การงานของเธอก้าวรุดไปข้างหน้าไม่หยุดยั้ง

            ถึงแม้ว่าความสามารถส่วนตัวจะมีอยู่อย่างล้นเหลือ แต่เธอกลับไม่พอใจที่จะก้าวหน้าทีละขั้น มันมีความทะเยอทะยานบางอย่างคอยกระตุ้นให้เธอพยายามมองหาลู่ทางเติบโตให้เร็วกว่าเพื่อนร่วมงานรุ่นเดียวกัน ด้วยวิธีการพิเศษบางอย่าง
            ผู้จัดการหนุ่มคนแรกที่เธอสนใจคือ “เกรียงไกร” นอกจากจะมีตำแหน่งแล้วยังมีหน้าตาหล่อเหลาผิวคล้ำหน้าเข้ม ทั้งยังมีนิสัยเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม ความเป็นคนเจ้าเสน่ห์ทำให้มีเขาผู้หญิงควงแทบไม่ซ้ำหน้า ทว่าเขากลับไม่สนใจมินตราแม้แต่น้อย ยิ่งหญิงสาวพยายามทอดสะพานมากเท่าไหร่ เขากลับพยามหนีห่างจากเธอราวกับรู้เท่าทันว่าผู้หญิงคนนี้มีเป้าหมายอย่างไร?

            ตรงกันข้ามกับ “ศักดิ์ชัย” ผู้จัดการโครงการอีกคนหนึ่ง ถึงจะเป็นหนุ่มหน้าจืดธรรมดา ๆ ติดจะเงียบขรึมไปหน่อย แต่ดูๆ ไปก็มีเสน่ห์น่าค้นหาไปอีกแบบ อย่างน้อยผู้ชายคนนี้ก็ไม่เคยแสดงกิริยาไม่สุภาพหรือตั้งป้อมรังเกียจเธออย่างโจ่งแจ้งเหมือน “เกรียงไกร”

            ข้อดีของเขาก็คือถึงจะหล่อน้อยกว่า แต่มีศักยภาพเพียงพอที่จะผลักดันให้เธอไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงกว่าเดิมได้ไม่แพ้กัน

            หลังจากพาตัวเองเข้าไปใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้จัดการหนุ่มทั้งสองคนระยะหนึ่ง ความสุภาพและดูระมัดระวังตัวราวกับไม่ไว้ใจอะไรบางอย่างในตัวเธอ ทั้งยังชอบแสดงท่าทีรู้เท่าทันอยู่เสมอ ทำให้ “มินตรา” สะสมความไม่พอใจ “เกรียงไกร” มากขึ้นทุกวัน จนกลายเป็นความเกลียดชังไปอย่างไม่รู้ตัว

            ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่าง “มินตรา” กับ “ศักดิ์ชัย” กลับพัฒนาไปในทิศทางที่ดี ไม่ใช่เพราะความสุภาพอ่อนโยนเท่านั้น หากแต่เขาดูมีท่าทีสนใจในไมตรีจิตที่เธอหยิบยื่นให้ และนี่คือจุดเริ่มต้นที่มินตราวาดหวังไว้ว่าสักวันหนึ่ง “ศักดิ์ชัย” จะเดินเข้ามาตามเส้นทางที่เธอถักทอเป็นร่างแหพิเศษชนิดหนึ่ง

            ทว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ผู้จัดการหนุ่มคนดีคนนี้กลับไม่มีทีท่าสนใจ “มินตรา” ในเชิงชู้สาว เขายังคงความสัมพันธ์แบบพี่ชายที่แสนดีเสมอต้นเสมอปลาย จนเธอรู้สึกขุ่นเคืองและเบื่อหน่ายที่อะไรต่อมิอะไร ไม่เป็นไปตามอย่างที่คิดและวาดหวังไว้

            หญิงสาวพยายามหว่านเสน่ห์ครั้งแล้วครั้งเล่าจนรู้สึกว่าไม่สามารถสานสัมพันธ์ให้ลึกซึ้งมากกว่าที่เป็นอยู่ ผู้หญิงเก่งเยี่ยง “มินตรา” มีหรือจะยอมแพ้ง่าย ๆ แผนรวบหัวรวบหาง จึงถูกกำหนดขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ และรัดกุม

            แล้ววันที่รอคอยก็มาถึง วันนั้น “บริษัท” มีงานเลี้ยงสังสรรค์ที่ห้องอาหารในโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง กว่างานเลี้ยงจะเลิกเวลาก็ล่วงเลยไปเกือบเที่ยงคืน “มินตรา” ตัดสินใจทำตามแผนที่วางไว้ เมื่อถึงจังหวะเหมาะสมก็เอ่ยปากชวนเพื่อนไปเต้นรำต่อ หนึ่งในจำนวนนั้นมี “ศักดิ์ชัย” ร่วมอยู่ด้วย

            ค่ำคืนนั้น หญิงสาวแสร้งดื่มสุราจนเมามายไม่ได้สติ จนเวลาล่วงเลยถึงตีสาม ผู้ทำหน้าที่สุภาพบุรุษย่อมเป็น “ศักดิ์ชัย” อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เดินไปตามแผนที่เธอวางเอาไว้อย่างแนบเนียน

            “ศักดิ์ชัย” ไปส่งเธอถึงที่พัก “มินตรา” เอ่ยปากชวนเขาไปดื่มกาแฟ พอถึงห้องพัก ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง ก็ชวนเขาดื่มต่อจนเมามายไม่ได้สติ แล้วทุกอย่างก็เป็นไปครรลองที่หญิงสาวต้องการให้เป็นอย่างลงตัวเสียนี่กระไร

            จริงอยู่! สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ถูกหลักศีลธรรม คนในสังคมอาจไม่ยอมรับการพยายามไต่เต้าเอาตัวเข้าแลกของผู้หญิง ทว่าตัวเธอไม่แคร์ต่อกระแสสังคมมาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งสังคมในปัจจุบันที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้เฉกเช่นในอดีต ดังนั้นจึงไม่มีอะไรสามารถหยุดยั้งการกระทำของเธอได้

            สำหรับ “มินตรา” ความทะยานอยากมีพลานุภาพเหนือกว่าความรู้สึกหวั่นไหวต่อเสียงซุบซิบนินทาของคนรอบข้าง เธอคิดว่าไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่ต้องวิตกกังวลต่อสังคมรอบตัว เพราะมีบางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัวกว่า...

            ชีวิตในวัยเด็กของเธอค่อนข้างลำบาก เด็กบ้านนอกฐานะยากจน ครอบครัวต้องอดมื้อกินมือส่งเสียลูกสาวคนเล็กที่เรียนเก่งที่สุดในบ้านให้มีการศึกษาสูง นับเป็นการสร้างโอกาสให้ “มินตรา” ได้ก้าวผ่านความยากลำบากในวัยเด็กมาเป็นมนุษย์เงินเดือน ที่มีรายดีกว่าเดิมมากมาย

            แต่ทว่าความอัตคัดขัดสนในห้วงเวลาก่อนจะมาถึงช่วงชีวิตที่ได้ทำงานมีเงินเดือนใช้ คือเบ้าหลอมให้เธอต้องอดทนกับการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่เพื่อนในชั้นเรียนทุกคนมีฐานะกว่าเธอ

            ที่ผ่านมา “มินตรา” เคยรู้สึกภาคภูมิใจสุดขีดที่สามารถสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับประเทศได้สำเร็จ ขณะที่เพื่อนหลาย ๆ คนพลาดโอกาสที่ดีตรงนี้ไป แต่พอได้เข้าไปเรียนจริงๆ ความภูมิใจที่เคยพองโตอยู่ในใจกลับห่อเหี่ยวลง เมื่อได้เข้าไปอยู่อยู่ในสังคมที่เพื่อนทุกคนมีทุกอย่างเหนือกว่าเธอมากขึ้นกว่าเดิม

            หญิงสาวจำความเจ็บปวดที่ฝังอยู่ในเบื้องลึกของใจได้เป็นอย่างดี มีหลายครั้งหลายหนที่ต้องอดทนอดกลั้น ฝืนใจปฏิเสธเพื่อนๆ ที่ชวนไปเที่ยวเตร่ ข้ออ้างของเธอคืออยากอยู่หอพักอ่านหนังสือ ทั้งที่จริงๆ แล้ว เธอมีเงินพอใช้แค่จ่ายค่าหอพัก และอาหารราคาถูกเท่านั้น

            ประสบการณ์สอนให้เธอรู้สึกว่าเวลาไม่มีจะกิน สังคมไม่เคยเหลียวแล แต่เวลาทำอะไรผิดพลาดสังคมพร้อมประณามโดยไม่คำนึงถึงต้นตอของการทำเลวว่าเป็นหน่ออ่อนที่แตกดอกออกผลมาจากความด้อยโอกาส เป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริงๆ ที่ เธอจะสะสมความรู้สึกขมขื่นใจเหล่านี้จนกลายเป็นความมั่นใจว่ามีความสามารถอดทนต่อเสียงซุบซิบนินทาได้มากกว่าคนทั่วไป

 

            หลังจากวันนั้น “มินตรา” และ “ศักดิ์ชัย” ลอบมีความสัมพันธ์ลับๆ กันหลายครั้ง แรกๆ หญิงสาวคิดฝากชีวิตฝากอนาคตไว้กับผู้จัดการหนุ่มอนาคตไกลเช่นเขา เวลาผ่านไปเธอรบเร้าให้เขาเปิดเผยความสัมพันธ์และจัดพิธีแต่งงานให้ถูกต้องตามประเพณีหลายครั้งหลายหน แต่เขากับบ่ายเบี่ยงเรื่อยมา

            ความเป็นหนุ่มหัวโบราณมีส่วนอย่างมากที่ทำให้เขาลังเลที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเธอ แน่นอนว่าในแง่ของคู่รัก “มินตรา” ย่อมมีความเหมาะสมทุกประการ แต่ถ้าถามว่าเธอจะเป็นแม่ที่ดีของลูกหรือไม่ เขายังกังขาในเรื่องนี้ ฉะนั้นเมื่อใดก็ตามที่เธอเอ่ยปากเรื่องแต่งงาน เขาเลือกใช้วิธีผลัดวันประกันพรุ่งด้วยเหตุผลต่างๆ นานา ซึ่งใช้ได้ผลในแง่ที่ทำให้เป็นอิสระจากการถูกเธอครอบครองอย่างถาวร

            ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่เขาหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งนั้นคือภารกิจสนับสนุนให้เธอไต่เต้าสู่ตำแหน่งหน้าที่การงานสูงขึ้นกว่าเดิม

            แรกๆ การแบ่งรับแบ่งสู้แล้วเลื่อนการแต่งงานออกไปเรื่อยๆ ทำให้ “มินตรา” ขุ่นเคืองใจไม่น้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไป มีหลายสิ่งหลายอย่างทำให้เธอเปลี่ยนความคิดใหม่ แทนที่จะไม่พอใจต่อความสัมพันธ์ที่ย่ำอยู่กับที่ เธอกลับพอใจที่จะคบหากับเขาอย่างลับๆ เปล่าเลยที่พอใจอยู่อย่างนี้ ไม่ใช่เพราะปลงตก หรือปล่อยวางอย่างที่ “ศักดิ์ชัย” คิดไปเอง

            ตรงกันข้ามหน่ออ่อนของความทะยานอยากของหญิงสาวกลับเติบใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม ช่วยไม่ได้ที่ยิ่งนานวัน เธอยิ่งรู้สึกว่าศักยภาพของผู้จัดการโครงการนั้น มีอานุภาพน้อยเกินกว่าที่จะส่งเสริม และผลักดันให้ก้าวหน้าสูงกว่าตำแหน่งหัวหน้าแผนกที่เธอเริ่มรู้สึกว่าเล็กเกินไปเสียแล้ว

            “มินตรา” ประเมินว่าการก้าวขึ้นสู่ระดับผู้ช่วยผู้จัดการโครงการ และรองผู้จัดการโครงการ ก่อนจะกรุยทางสู่การเป็นผู้จัดการโครงการในอนาคต จำเป็นต้องอาศัยผู้สนับสนุนที่มีศักยภาพสูงกว่าผู้จัดการโครงการ แล้วใครกันล่ะ? ที่ใหญ่กว่าศักดิ์ชัย และเกรียงไกร คำตอบที่ผุดพรายขึ้นใจของเธอก็คือ คนที่ใหญ่สุดในองค์กร ซึ่งก็คือเจ้าของบริษัทฯ นั่นเอง

            จุดหมายที่เปลี่ยนไป ทำให้ “ทรงภูมิ” กลายเป็นเป้าหมายใหม่ที่เธอหมายมั่นว่าจะช่วยส่งเสริมให้ไต่เต้าสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น ใหญ่ขึ้น เงินเดือนดีขึ้นกว่าเดิม

            ลูก เมีย และครอบที่อบอุ่นน่าประทับใจของเขาหาใช้อุปสรรคสำหรับหญิงสาว ตรงกันข้าม พันธะผูกพันดังกล่าวนั้น เป็นความท้าทายใหม่ แม้เป็นโจทย์ที่ยากขึ้น แต่ทว่าเป็นความท้าทายใหม่ที่กระตุ้นให้เธอทุ่มเทสรรพกำลังฟันฝ่าอุปสรรคที่ยากและ “หิน” กว่าเดิม อย่างสุดความสามารถ
            ถ้าหากทลายกำแพงหินฝ่าปราการด่านสำคัญนี้ได้สำเร็จ นอกจากจะมีตำแหน่งใหม่ มีรายได้ที่สูงขึ้นเป็นรางวัล ความภูมิใจในชัยชนะคือผลตอบแทนที่ประมาณค่ามิได้มิใช่หรือ...?

            ดังนั้น เมื่อจู่ๆ ศักดิ์ชัยคู่รักที่เธอและเขาพอใจซุกซ่อนความสัมพันธ์เอาไว้ เข้ามาบอกลาพร้อมทั้งแจกการ์ดแต่งงานกับผู้หญิงอื่นที่ไม่ใช่เธอ แทนที่จะฟูมฟายน้ำตา “มินตรา”กลับสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับเขาด้วยรอยยิ้มพร้อมทั้งอวยพรด้วยน้ำเสียงแสดงความยินดีอย่างจริงใจ

            แรกทีเดียว “ศักดิ์ชัย” รู้สึกงุนงงสงสัยอากัปกิริยาของ “มินตรา” พอเวลาผ่านไปข่าวคาวระหว่างเธอกับนายใหญ่ของบริษัทคือคำตอบสุดท้ายที่สามารถไขข้อกังขาที่ค้างคาในใจเขาอย่างไร้ความสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น

            ความรู้สึกแรกเมื่อได้ยินข่าวฉาวของเธอ เขารู้สึกหวั่นไหวอย่างล้ำลึกถึงกับต้องคิดทบทวนหวนรำลึกถึงสิ่งที่เคยเกิดระหว่างเขากับเธอ และเฝ้าถามตัวเองอยู่หลายครั้งว่า “เสียใจ” หรือ “เสียดาย” หลังจากใช้เวลาครุ่นคิดอยู่นานพอสมควร เขาก็รู้สึก “โล่งใจ” เมื่อตอบคำถามกับตัวเองได้ว่าความหวั่นไหวเป็นเพียงแค่ความรู้สึกเสียดายความรู้สึกดีๆ ที่เคยเกิดขึ้นระหว่างกัน...เท่านั้น

            เรื่องราวทั้งหมดคงผ่านไปราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ถ้าหากไม่มีวันนั้น วันที่ “มินตรา” เข้ามาคุยกับเขาในห้องทำงาน
            “พี่ศักดิ์กำลังเตรียมเสนอชื่อรองผู้จัดการโครงการใช่ไหมคะ”
            เขาพยักหน้ารับแทนการตอบคำถาม พอเห็นเขาไม่ปฏิเสธ หญิงสาวก็เข้าไปฉอเลาะพร้อมทั้งขอร้องแกมบังคับ ทำนองขอความเห็นใจว่าอยู่ตำแหน่งหัวหน้าแผนกมาหลายปี ตลอดเวลาที่ทำงานบริษัทเดียวกันเธอมีความรู้สึกดีเป็นพิเศษต่อเขาเสมอมา

            “มินขอให้พี่ช่วยสนับสนุนน้องสาวคนนี้บ้าง” เธอเอ่ยปากขอร้องตรง ๆ แบบไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา

            …นี่เราต้องช่วยผลักดันเธออีกแล้วหรือ...? เขาถามตัวเองอย่างเหนื่อยหน่าย การที่ผู้หญิงคนนี้เข้ามาล็อบบี้โดยอ้างความสัมพันธ์เก่าๆ นั้น ได้ทำลายความรู้สึกดีที่พึงมีต่อกันให้แหลกสลายไปหมดสิ้น

            “นะคะ ช่วยมินด้วยนะคะ” น้ำเสียงนั้นเว้าวอน เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบไป

            “ตกลง พี่จะเดินเรื่องให้” เขาตอบตกลงด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ทั้งๆที่ ความรู้สึกภายในใจคุกรุ่นด้วยความไม่พอใจ อยากจะปฏิเสธใจจะขาด แต่ไม่รู้เพราะอะไร ปากเจ้ากรรมกลับตอบตกลงกับเธอได้อย่างไร? เขารู้สึกอับจนปัญญาหาเหตุผลมารองรับ
            พอได้ยินคำตอบ อารามดีใจประกอบกับความเคยชินเดิมๆ ในอดีตที่เคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน หญิงสาวถึงกับโน้มตัวเข้าไปหอมแก้มศักดิ์ชัย
            “ขอบคุณค่ะ”

            …แอ๊ด… เสียงเปิดประตูดังแทรกขึ้นมาในจังหวะเดียวกันพอดี ร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่ง ก้าวพรวดเข้ามาในห้องอย่างกะทันหัน ทำให้ร่างของคนทั้งสองผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว


            “อุ๊บ ขอโทษ” เกรียงไกร พูดด้วยน้ำเสียงตกใจกับภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า

            “คนอะไร ไม่มีมารยาท” หญิงสาวต่อว่าคนที่เธอเกลียดที่สุดที่เข้ามาในห้องโดยไม่เคาะประตู เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเหรอหรา เธอก็สะบัดหน้าเดินกระแทกกระทั้นออกไปจากห้องทำงานทันที

            เมื่อเห็น “มินตรา” ออกไปจากห้องแล้ว เกรียงไกร จึงหันกลับไปหยอกเพื่อนหนุ่มว่า....
            “แกไม่กลัวเจ้านายแพ่นกบาลหรือไง”

            “ช่วยไม่ได้ เขามาเอง” พอพูดจบก็ยักไหล่ราวกับไม่ยี่หระต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

            สองหนุ่มสบตากัน แล้วส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ ราวกับขบขันเสียเต็มประดา
            ด้วยแรงหนุนจากประธานบริษัท และหัวหน้าโครงการอนาคตไกลอย่าง “ศักดิ์ชัย” ทำให้เส้นทางก้าวสู่ตำแหน่งรองผู้จัดการโครงการของ “มินตรา” สดใสราบรื่นตามคาด แม้จะมีเสียงซุบซิบนินทาอยู่บ้าง แต่ตัวเธอไม่เคยใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว

            ที่ผ่านมา “มินตรา” เผชิญปัญหาหนักหนาสาหัสมามากมาย นับประสาอะไรกับเรื่องแค่นี้ การวิ่งเต้นให้ตำแหน่งหน้าที่ก้าวหน้าเหนือคนอื่นนั้น ตื่นเต้นเร้าใจเหมือน ๆ กับการป่ายปีนขึ้นสู่ยอดเขาสูงชัน ต้องเหน็ดเหนื่อยและเสี่ยงอันตราย แต่เมื่อถึงยอดภูนอกจะได้ความรู้สึกเป็นผู้พิชิตแล้ว การยืนอยู่บนที่สูงยิ่งหวาดเสียวมากเท่าไหร่ ยิ่งตื่นเต้นเร้าใจมากขึ้นเท่านั้น
            นั่นคือความสำเร็จที่ผ่านมา แต่สำหรับการต่อสู้ช่วงชิงครั้งล่าสุด...ถ้าคอนเส็ปท์พาราไดซ์คอนโดมิเนียมได้รับการอนุมัติจากบอร์ด ย่อมหมายถึงโอกาสก้าวสูงตำแหน่งผู้จัดการโครงการ แต่ท่าทีนิ่งเฉยของ “ทรงภูมิ” ทำให้ “มินตรา” ไม่แน่ใจว่าวิธีการเดิม ๆ จะใช้ได้ผลอีกหรือไม่?

             และแล้ว...การประชุมพิจารณาเลือกลงทุนโครงการพัฒนาคอนโดมิเนียมกลางเมืองรอบสุดท้ายก็มาถึง วันนั้นพนักงานระดับบริหารทุกตำแหน่งเข้าร่วมฟังการพรีเซนต์กันอย่างพร้อมเพรียง

            “ต่อพงษ์” ลุกขึ้นพรีเซนต์โครงการให้ที่ประชุมรับฟังด้วยท่าทางมั่นใจในข้อมูลที่มีอยู่ในมือ เขาเปิดเผยถึงผลการศึกษาวิจัยตลาดที่ทำรีเสิร์ชมาอย่างละเอียดรอบคอบ มีการวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงทั้งภายในและภายนอก พร้อมทั้งคำนวณตัวเลขให้ที่ประชุมทราบถึงต้นทุนที่สามารถลดค่าใช้จ่ายให้ต้นทุนต่ำกว่าที่ประมาณการณ์เอาไว้ โดยไม่กระทบต่อคุณภาพ และความปลอดภัยของโครงการ ทั้งยังสรุปถึงต้นทุน และสัดส่วนของกำไรที่จะได้รับอย่างเป็นระบบ ซึ่งถือว่ามีปัจจัยเสี่ยงน้อยมาก

            ถ้าประเมินจากสิ่งที่เขาพรีเซนต์ต่อที่ประชุม ความเป็นไปได้ของโครงการมีสูงถึงกว่า 70% ทุกอย่างเดินไปอย่างราบรื่น กรรมการในที่ประชุมส่วนใหญ่เห็นด้วยกับ “ต่อพงษ์” มีเพียง “ทรงภูมิ” ที่นั่งหน้าเครียดดูราวกับวิตกกังวลอะไรบางอย่าง ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองเป็นผู้เห็นด้วยและผลักดันโครงการคอนโดมิเนียมสำหรับคนรุ่นใหม่มาโดยตลอด

            ทั้งๆ ที่เวลานี้ เขามีศักยภาพมากเพียงพอที่จะสนับสนุนให้โครงการคอนโดมิเนียมสำหรับคนรุ่นใหม่ ผ่านการพิจารณาจากที่ประชุม ซึ่งจะทำให้ “ต่อพงษ์” ได้รับการโปรโมตให้เป็นผู้จัดการโครงการ แต่เขากลับลังเล...เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่ เขารู้สึกวิตกกังวลต่อคำพูดของ “มินตรา” เกรงว่าจะจุดชนวนปัญหายุ่งยากเกินการแก้ไขเยียวยา
            “ถ้าพี่ปล่อยโปรเจ็กต์ของต่อพงษ์ผ่าน เราจะได้เห็นดีกัน” น้ำเสียงแข็งกร้าวของเธอยังคงดังชัดเจนในห้วงคิดคำนึง...

            หลายวันที่ผ่านมาเขาคิดหมกมุ่นถึงเรื่องนี้เกือบตลอดเวลา ใจหนึ่งอยากไฟเขียวให้โครงการคอนโดฯคนรุ่นใหม่ผ่านฉลุย เพราะมองเห็นโอกาสทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่อีกใจกลับหวั่นเกรงว่า “มินตรา” จะไม่พอใจจนถึงขั้นแฉอะไรบางอย่างขึ้นมา การมีอะไรเกินเลยกับเด็กในออฟฟิศ อาจถูกลงโทษจากสังคม จนทำให้ครอบครัวพังทลายในพริบตา

            ...ถ้าตัวเราและครอบครัวปลอดภัย น่าจะพอมีทางให้โอกาสดี ๆ ด้านอื่นแก่ต่อพงษ์...ความคิดนี้ผุดวาบขึ้นมา และมีผลให้ “ทรงภูมิ” ตัดสินใจกล่าวในที่ประชุมในประโยคที่พลิกความคาดหมายของทุกคนรวมทั้งต่อพงษ์และมินตรา

            “ผมยอมรับว่าโครงการคอนโดมิเนียมคนรุ่นใหม่กลางเมืองของต่อพงษ์น่าสนใจและมีความเป็นไปได้สูง แต่ตอนนี้โครงการบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์หลายแห่งยังก่อสร้างไม่ทันตามกำหนดส่งมอบให้ลูกค้า ตอนนี้ควรระงับโครงการคอนโดไปก่อน ถ้าโครงการที่เรากำลังทำอยู่ตอนนี้ ส่งมอบให้ลูกค้าได้เกิน 80% ค่อยมาพิจารณาเรื่องนี้อีกทีนะครับ”

            พูดจบ “ทรงภูมิก็ขอตัวออกจากห้องประชุมทันที ทั้งๆ ที่ผ่านมาเขาจะเปิดโอกาสให้กรรมการที่เข้าร่วมประชุมซักถามประมาณ 10-20 นาที ก่อนเลิกประชุมฯ

            อากัปกิริยาแปลกๆ ของประธานบริษัทฯ ทำให้ทุกคนในห้องประชุมนั่งนิ่งเงียบพักใหญ่ ก่อนที่หลายคนจะขยับตัวอย่างอึดอัด บางคนมีสีหน้าสงสัยไม่เข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่พอได้สติก็มีกรรมการหลายคนเดินเข้าไปตบไหล่ให้กำลังใจ “ต่อพงษ์” ที่นั่งก้มหน้าด้วยสีหน้าผิดหวังและงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าสิ่งที่เขาทุ่มเททำงานหนักมาหลายเดือนต้องถูกชะลอโครงการ และไม่มีอะไรมั่นใจได้ว่าจะได้รับการพิจารณาให้เดินหน้าต่อหรือไม่?


            สถานการณ์ที่พลิกผันอย่างรวดเร็ว เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นฉับพลันจนเกินกว่าเขาจะทำใจยอมรับได้ หลังวันประชุมใหญ่ “ต่อพงษ์” พยายามคิดทบทวนถึงจุดดี จุดด้อยของโครงการฯ เขาพยายามเติมรายละเอียดปลีกย่อยบางอย่างที่คิดว่าเป็นข้อบกพร่อง และพยายามหาโอกาสเข้าพบบิ๊กบอสเพื่อชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติม ทว่า “ทรงภูมิ” กลับไม่ให้เข้าพบ เขาได้รับคำปฏิเสธจากเลขาส่วนตัวของนายว่าติดประชุมบ้าง ติดนัดลูกค้าบ้าง

            พอเจอคำตอบแบบหนี้หลายครั้ง “ต่อพงษ์” อดรนทนไม่ไหว ตัดสินใจเข้าไปพบ “ทรงภูมิ” ที่ห้องทำงานส่วนตัวโดยไม่มีการนัดหมายล่วงหน้า วันนั้นเป็นช่วงหัวค่ำ เขาแอบไปสำรวจดูที่ลานจอดรถเห็นว่าเบนซ์หรูสีดำเป็นมันวับของนายยังจอดอยู่ในลานจอดรถ เมื่อเดินขึ้นในตึกชั้นบนสุด แม้ห้องโถงจะมีแสงไฟสลัวราง แต่ไฟในห้องทำงานของทรงภูมิยังเปิดสว่างอยู่

            เมื่อมั่นใจว่านายยังอยู่ในห้องทำงานเขาเดินจรดปลายเท้าจนเกือบจะเป็นย่องเพราะเกรงว่าเสียงฝีเท้าจะดังรบกวน พอเข้าไปใกล้ห้องทำงานที่เขาสังเกตเห็นว่าประตูห้องเปิดแง้มนิดๆ คล้ายรีบร้อนปิดจนไม่ทันสังเกตว่าประตูห้องปิดไม่สนิท           

            “ต่อพงษ์”เดินเข้าไปถึงหน้าห้องในระยะใกล้พอสมควรจนได้ยินเสียงกระซิบ ปนเสียงสะอื้นไห้เบาๆ เสียงนั้นมีผลทำให้เขาต้องลดน้ำหนักของฝีเท้าให้เบาลงกว่าเดิม ความอยากรู้อยากเห็นทำให้เขาย่องเข้าไปจนถึงหน้าห้อง แล้วแอบมองเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวของนายทันที

            ช่องประตูนั้น เปิดแง้มเพียงเล็กน้อยก็จริงอยู่ แต่มันก็มากเพียงพอที่จะทำให้มองเห็นภาพภายในห้องได้อย่างชัดเจน สิ่งที่ปรากฏแก่สายตานั้นสามารถคอนเฟิร์มถึงเหตุผลที่โครงการคอนโดคนรุ่นใหม่ของเขาถูกเบรกได้ชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งกว่าคำอธิบายใด ๆ

            ภาพที่เขาเห็นในห้องนั้นคือ...มินตรากำลังร่ำไห้และกราบลงไปบนหน้าอกของชายวัยกลางคนที่ยังดูหนุ่มแน่นเกินวัย ซึ่งก็คือท่านกรรมการผู้จัดการที่เขากำลังพยายามเข้าพบนั่นเอง...

            ทันทีที่ได้เห็น“ต่อพงษ์” รีบผละออกมาจากห้องนั้น ความรู้สึกหลากหลายประดังประเดเข้ามาราวกับน้ำป่าไหลหลาก เขาอยากกระชากประตูแล้วเข้าไปชกหน้าคนทั้งสอง อยากยื่นใบลาออกจากงาน อยากทำอะไรต่อมิอะไรให้สาสมกับความอยุติธรรมที่ตนเองได้รับอยู่ในขณะนั้น

            ...มิน่าเล่า วันก่อน “มินตรา” ที่มีตำแหน่งเท่าๆกัน และเป็นคู่แข่งคนสำคัญ กล้าดีถึงขั้นเข้ามาพูดเย้ยหยันว่าโปรเจ็กต์ที่เขาทุ่มเทรีเสิร์ซข้อมูลอย่างหนักไม่มีทางผ่านการพิจารณา ที่แท้คนๆ นี้ มีพฤติกรรมอย่างนี้นี่เอง...เลวที่สุด เขาสบถในใจอย่างสุดแค้นเคือง
 
            เวลาผ่านไปนานนับชั่วโมง อาณาบริเวณทั่วทั้งห้องทำงานของบริษัท ทรงภูมิ พร็อพเพอร์ตี้ เงียบสงัดปราศจากผู้คน เพราะเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ยามค่ำคืน พนักงานเกือบทั้งหมดแยกย้ายกับกลับบ้าน ยกเว้นโต๊ะทำงานหัวมุมด้านในสุด ที่มีชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งสงบนิ่งจ้องดูจอคอมพิวเตอร์อยู่เพียงลำพังคนเดียว
            คนผู้นั้นคือ“ต่อพงษ์”นั่นเองที่กำลังดูข้อมูลบางอย่างในคอมพิวเตอร์ หลังจากใช้เวลาดูนานนับชั่วโมง เขาถึงกับถอนหายใจหนัก ๆ ต่อเนื่องกันหลายครั้งคล้ายกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง ก่อนวางนิ้วมือทาบลงบนคีย์บอร์ด แล้วขยับนิ้วพิมพ์ข้อความลงไป หากดูผิวเผินเหมือนจะพิมพ์อย่างรวดเร็ว ทว่ากลับดูลังเลและมีการแก้ไขข้อความหลายครั้งหลายหน

            เวลาผ่านไปพอสมควร เขาหยุดพิมพ์แล้วอ่านข้อความบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ซ้ำไปซ้ำมาหลายหนจนพอใจในข้อความจึงกดบันทึกแล้วสั่งปริ้นส์ข้อความดังกล่าวลงบนกระดาษ ขณะที่กำลังเอื้อมมือหยิบกระดาษที่สั่งปริ้นส์มาอ่าน เขาถึงกับตกใจจนสะดุ้งสุดตัว เมื่อจู่ ๆ มีมือของคนผู้หนึ่งเอื้อมมาจากเบื้องหลังมาคว้ากระดาษแผ่นนั้นไปอ่าน

            “พี่เกรียงไกร” ต่อพงษ์อุทานด้วยน้ำเสียงตกใจ เมื่อหันไปเห็นหน้าเจ้าของมือ เขาคาดไม่ถึงว่าดึกดื่นอย่างนี้ พี่ชายที่แสนดีที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองกรรมการผู้จัดการ ซึ่งเป็นหัวหน้าสายงานโดยตรงของเขาในเวลานี้ จะยังไม่ได้กลับบ้าน

            “ต่อไม่จำเป็นต้องลาออก” ชายหนุ่มผู้อาวุโสกว่ากล่าวขึ้นมาพร้อมๆ กับทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ว่างข้างตัวของลูกน้องหนุ่มที่เขาปั้นมากับมือ

            “ผม...รับไม่ได้”

            “เรื่องโปรเจคไม่ผ่านหรือ”

            “ต่อพงษ์” นิ่งเงียบอยู่อึดใจ ก่อนตอบคำถามอย่างไม่เต็มปากเต็มคำว่า... “เรื่องนี้มีส่วนอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด”

            “มีเรื่องอะไรอีกหรือ” เขาซักด้วยเสียงเข้มขรึมจริงจัง
            ผู้ถูกถามนิ่งอึ้ง แต่เมื่อถูกถามย้ำด้วยน้ำเสียงและสายตาคาดคั้น “ผมบอกไม่ได้จริงๆ ครับ”
            “เกี่ยวกับมินตราหรือ” เกรียงไกร ถามอย่างรู้เท่าทัน

            คำถามตรงไปตรงมาแบบไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา ทำเอา “ต่อพงษ์” ตกใจถึงกับสะดุ้งโหยง ความรู้สึกของเขาในเวลานี้ เป็นความประหลาดใจและโล่งใจปนเปกันที่มีคนรู้เห็นพฤติกรรมของคู่แข่งที่ถนัดเล่นนอกเกมอย่าง “มินตรา”

            บรรยากาศภายในห้องตกอยู่ในความเงียบจนเกือบจะเป็นความอึดอัดอยู่ชั่วขณะ ชายหนุ่มทั้งสองประสานสายตามองกันนิ่งนานกว่าครั้งใดๆ คนหนึ่งมีแววตาเปี่ยมไปด้วยคำถามร้อยแปดพันเก้า ส่วนสายของอีกคู่ที่ดูเจนโลกกว่าอย่าง “เกรียงไกร” เต็มไปด้วยประกายแห่งการสังเกตและประเมินความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่ง

            “เรื่องแค่นี้ คุณยอมแพ้แล้วหรือ” หนุ่มใหญ่ตัดสินใจเอ่ยคำถามทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน

            “ต่อพงษ์” มองลึกเข้าไปในสายตาที่เต็มไปด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจของอีกฝ่าย แต่ในความเห็นใจนั้น มีประกายบางสิ่งบางอย่างซุกซ่อนอยู่ มันเจือด้วยรังสีแห่งการต่อสู้แย่งชิงเพื่อก้าวสู่ชัยชนะ ซึ่งตัวเขาเองไม่รู้ว่าจะจบลงที่จุดหมายปลายทางอย่างไร?

            เหนือกว่านั้น “ต่อพงษ์” สัมผัสได้ถึงแรงสนับสนุนอย่างสุดกำลังที่จะผลักดันให้เขาก้าวไปข้างหน้า โดยที่เขาไม่ต้องเอาตัวเข้าแลกเหมือน “มินตรา”
            “ถ้าคุณสู้ ผมหนุนเต็มที่”

            น้ำเสียงของ “เกรียงไกร” ณ เวลานี้ดูหนักแน่นและมีพลังบางอย่างที่ “ต่อพงษ์” จำเป็นต้องตอบรับอย่างฉับพลันว่า...
            “ตกลง ผมสู้ต่อ”

            เกรียงไกร ยิ้มรับการตอบรับของลูกน้องหนุ่มด้วยสีหน้ายินดี เขาเอื้อมมือไปตบไหล่เบาๆ เพื่อให้กำลังใจ และยิ้มอย่างดีใจเมื่อเห็นไฟแห่งนักสู้คุโชนขึ้นในแววตาของ “ต่อพงษ์” เห็นอย่างนั้นเขายิ่งรู้สึกมั่นใจยิ่งขึ้นกว่าเดิมว่าชัยชนะกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ

            ...ช่วยไม่ได้จริงๆ ถ้าหากเขาจะร่วมมือกับ “ต่อพงษ์” กระทำเรื่องราวบางอย่างที่คลุมเครือให้กระจ่างชัดและเกิดประโยชน์สูงสุด เหตุที่ต้องทำเยี่ยงนี้เพราะเขาต้องการความสำเร็จในหน้าที่การงาน ที่น่าจะก้าวได้ไกลกว่าตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้