ขสมก.ก้าวสู่ปีที่ 50 มุ่งขับเคลื่อนสู่รถเมล์ไฟฟ้า คาดลดต้นทุนพลังงานปีละกว่า 1,442 ล้าน

ขสมก.ก้าวสู่ปีที่ 50 “พิพัฒน์“ เดินหน้าขับเคลื่อนระบบรถเมล์ไทยยุคใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยรถเมล์ไฟฟ้า สามารถประหยัดมลพิษ และลดต้นทุนพลังงานรวมกว่า 1,442 ล้านบาท/ปี คาดว่าจะได้รับรถเฟสแรก ประมาณเดือนกันยายน 2569

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีวันคล้ายวันก่อตั้งครบรอบ 49 ปี องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) พร้อมกับเปิดเผยถึงการให้บริการรถร่วมขสมก.ในปัจจุบันว่ามีรถให้บริการรถรวม 2,883 คัน รัฐบาลได้มีการสนับสนุนงบชดเชยรายได้รวม 885 ล้านบาท/ปี เพื่อรักษาระดับค่าโดยสารและพัฒนาระบบเดินรถ พร้อมย้ำว่าขสมก.ได้เดินหน้าสร้าง “ระบบรถเมล์ไทยยุคใหม่” ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของคนเมือง และในปีนี้ ขสมก. เตรียมเดินหน้าโครงการรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า (EV) เพื่อยกระดับคุณภาพการบริการ ลดมลพิษ และสร้างมาตรฐานใหม่ของระบบรถเมล์ไทย

“ทั้งนี้รถเมล์โดยสารยุคใหม่จะปรับรถโดยสารธรรมดา 1,520 คัน เป็นรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า (EV) จะสามารถช่วยลดมลพิษและประหยัดต้นทุนพลังงานรวมกว่า 1,442 ล้านบาท/ปี (ประมาณลดค่าเชื้อเพลิงได้ 70% และลดค่าเหมาซ่อมได้ 100%) ส่วนค่าโดยสารก็จะมีมาตรการออกมาจากรัฐบาลในการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของระบบขนส่งทั้งหมด ซึ่งจะมีการให้รายละเอียดอีกทีในภายหลัง ทั้งนี้ขสมก.จะใช้รถร้อนราคา 8 บาทไปจนกว่ารถ EV จะทยอยเข้ามาครบ เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านมีความเป็นธรรม และไม่เพิ่มภาระประชาชน” นายพิพัฒน์ กล่าว

ด้านนายกิตติกานต์ จอมดวง จารุวรพลกุล ผู้อำนวยการ ขสมก. ได้รายงานผลการดำเนินงานว่า ปัจจุบัน ขสมก. มีรถโดยสารธรรมดา 1,520 คัน รถโดยสารปรับอากาศ 1,363 คัน สามารถรองรับผู้โดยสารเฉลี่ย 5–6 แสนคนต่อวัน มีความพร้อมในการเดินหน้าจัดหารถ EV ให้แล้วเสร็จตามแผน คาดว่าจะได้รับรถเฟสแรก ประมาณเดือนกันยายน 2569 และจะมีการพัฒนาระบบบริหารเดินรถด้วยข้อมูลเรียลไทม์เพื่อลดปัญหารถขาดระยะเพิ่มความตรงต่อเวลา

นอกจากนี้ ขสมก. ได้นำเทคโนโลยีทันสมัยมาช่วยเพิ่มคุณภาพบริการ อาทิ ระบบติดตามรถ (GPS) เชื่อมต่อแอปพลิเคชัน BMTA Bus ให้ประชาชนตรวจสอบเวลารถแบบเรียลไทม์ และระบบชำระค่าโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัย

ดังนั้นพิธีครบรอบ 49 ปีของ ขสมก. จึงไม่เพียงเป็นการเฉลิมฉลอง แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านสู่ “ระบบรถเมล์ไทยยุคใหม่” ที่สะอาด ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในระยะยาวได้