X

ชาร์จ 5 นาทีวิ่งได้ 400 กม.! เทคโนโลยี BYD Flash Charging 1000 kW เร็วพอ ๆ กับเติมน้ำมัน!!

Last updated: 28 ต.ค. 2568  |  140 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ชาร์จ 5 นาทีวิ่งได้ 400 กม.! เทคโนโลยี BYD Flash Charging 1000 kW เร็วพอ ๆ กับเติมน้ำมัน!!

เข้าสู่ยุคของการชาร์จไวระดับเมกะวัตต์! ชาร์จเร็วพอ ๆ กับเติมน้ำมัน!!

เพจ BYD GLOBAL ลงรูป “เครื่องจักรชาร์จไว” ตัวใหม่ พร้อมคำบรรยายสั้นๆแต่แรงว่า...Unlock unparalleled speed with BYD's 1000kW Flash Charging. A mere 5 minutes delivers 400km of range, empowering you to reclaim your time for a coffee, a call, or simply more journey. ซึ่งถ้าแปลกันแบบตรงตัวก็ประมาณ “ปลดล็อกความเร็วอย่างเหนือชั้น ด้วยเทคโนโลยี Flash Charging 1000 kW ของ BYD แค่ 5 นาทีที่ชาร์จก็ได้ระยะทาง 400 กม. คืนเวลาให้คุณไปจิบกาแฟ โทรหาใครสักคน หรือออกเดินทางต่อได้เลย”



โพสต์นี้ชูจุดขายอยู่ 3 เรื่อง:

1.“1000 kW Flash Charging”


จัดว่าเป็นเป็นตัวเลขที่แรงมากในวงการ EV นาทีนี้ เพราะระบบชาร์จทั่วไปของรถยนต์ไฟฟ้ายังอยู่ในระดับ 250–350 kW เท่านั้น นั่นหมายความว่า BYD ต้องการจะสื่อว่า กำลัง เข้าสู่ยุคใหม่ของการชาร์จระดับเมกะวัตต์ เหมือน “Refuel speed, but electric.”

2.“5 minutes = 400 km” คือ “killer stat” ที่จำง่ายที่สุดในโพสต์นี้ เหมือนเวลามีการเคลมว่าสามารถเร่งสปีดความเร็วจาก 0–100 กม./ชม. ใน 2 วินาที ของบรรดารถซูเปอร์คาร์ นี่เป็นตัวเลขที่สร้างภาพว่า EV ชาร์จเร็วพอ ๆ กับแวะปั๊มน้ำมัน

2.“reclaim your time for a coffee, a call, or more journey” เป็นการสื่อถึงอารมณ์ที่ พรีเมียมแต่ชิล เหมือน Tesla พูดเรื่อง “charging lifestyle” แต่ BYD ใส่กลิ่น “เวลาคือสิ่งล้ำค่า” ลงไปแทน

มุมด้านเทคนิคที่น่าสนใจ:

 หากเป็นจริง ระบบ 1000 kW หมายถึง BYD กำลังพัฒนา “4C–6C charging battery” หรือแบตเตอรี่ที่รองรับไฟได้ 4–6 เท่าของความจุ เช่น แบตเตอรี่ความจุ 100 kWh ชาร์จได้ที่ 600 kW ขึ้นไป

เป็นไปได้ว่าจะใช้เทคโนโลยีใหม่จาก Blade Battery Gen 2 / LFP Ultra-fast Chemistry

หรือเป็นระบบที่จับคู่กับ Megacharger network ที่ BYD จะเริ่มสร้างในจีนปี 2026

การจะ “ชาร์จ 1000 kW ใน 5 นาที” ไม่ใช่แค่เสียบปลั๊กแล้วรถจะแรงขึ้นมาหน้าตาเฉย ๆ แต่ทั้ง เครื่องชาร์จ และ ตัวรถ EV เอง ต้องถูกออกแบบใหม่ทั้งระบบในระดับ “อุตสาหกรรมไฟฟ้าแรงสูง”

ฝั่งเครื่องชาร์จ (Charger) ต้องพัฒนาอะไรบ้าง

1.ระบบไฟฟ้าแรงดันสูงระดับ 1000V–1500V

เครื่องชาร์จทั่วไปในปัจจุบันจ่ายอยู่ราว 400–800V การจะดันไปถึง 1000 kW (1 เมกะวัตต์) ต้องใช้แรงดันสูงเพื่อไม่ให้กระแสไฟ (amp) สูงเกินไปจนเกิดความร้อนมหาศาล ต้องใช้ “Solid-state Power Module” และ “Silicon Carbide (SiC)” ในวงจรแปลงไฟเพื่อลดการสูญเสียพลังงาน

2. ระบบระบายความร้อนขั้นสูง (Liquid Cooling Cable)

สายชาร์จระดับนี้มีกระแสไฟกว่า 600–1000 A ถ้าไม่มีระบบหล่อเย็น จะร้อนเกินจุดที่วัสดุรับได้

ต้องใช้ “liquid-cooled charging gun” แบบเดียวกับที่ใช้ใน Megacharger ของ Tesla หรือ CharIN MCS

3.การสื่อสารข้อมูลแบบ High-speed Protocol

มาตรฐานการสื่อสารใหม่ เช่น ISO 15118-20 / MCS (Megawatt Charging System) เพื่อให้เครื่องชาร์จและรถ “พูดคุย” กันได้แบบ real-time ว่าตอนนี้รับไฟได้เท่าไร ร้อนแค่ไหน ปรับกำลังอัตโนมัติ

4.ระบบจ่ายไฟจากกริดที่มีเสถียรภาพสูง

การชาร์จ 1000 kW 1 จุด = ใช้ไฟเท่าตึกสำนักงานขนาดกลาง ต้องมีระบบ Energy Buffer / Battery Storage / Grid Stabilizer มาช่วยกักพลังงานไว้ก่อน เพื่อไม่ให้ไฟตกหรือโหลดเกิน คล้ายสถานี “BYD Flash Hub” หรือ “Tesla Megacharger Hub” ที่ใช้แบตฯเสริม

5.มาตรการความปลอดภัยขั้นสูง

ระบบชาร์จต้องมีเซนเซอร์ตรวจจับ อุณหภูมิ, การรั่วไฟ, แรงดันผิดปกติ, การเชื่อมต่อไม่แน่น และมีฟังก์ชั่นตัดไฟในระดับมิลลิวินาทีเมื่อพบความผิดปกติ

ฝั่งรถ EV ต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง

1.สถาปัตยกรรมไฟฟ้าแรงดันสูง (800V–1500V)

รถ EV ทั่วไปในปัจจุบันใช้แบตเตอรี่ 400V แต่ถ้าจะชาร์จเร็วระดับ 1000kW ต้องใช้สถาปัตยกรรม 1000V ขึ้นไป เช่น Porsche Taycan = 800V, BYD e⁴ Platform 3.0+ หรือ Yangwang เทคโนโลยี 1200V

2. แบตเตอรี่แบบ Ultra-fast Charging Cell

ต้องใช้เซลล์ที่มีค่า C-rate สูง เช่น 4C–6C (ชาร์จได้ 4–6 เท่าของความจุใน 1 ชม.)

ใช้เทคโนโลยี LFP Gen 2 / Semi-solid / Blade Battery Plus

โครงสร้างภายในต้องลดความต้านทานไฟฟ้า และกระจายความร้อนได้ดี

3.ระบบจัดการความร้อน (Thermal Management System)

มี “Liquid Cooling Plate” ติดใต้โมดูลแบตเตอรี่ พร้อม Heat Pump ที่ควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมระหว่างชาร์จ (~25–35 °C) และต้องสามารถควบคุมได้แบบเรียลไทม์เพราะแบตร้อนเร็วมากตอนชาร์จระดับนี้

4.ระบบ BMS (Battery Management System)

ตรวจจับแรงดันและอุณหภูมิของแต่ละเซลล์

ปรับสมดุลการชาร์จ (Cell Balancing) เพื่อป้องกันการเสื่อมและระเบิด

สื่อสารกับเครื่องชาร์จผ่าน ISO 15118 เพื่อปรับกำลังอัตโนมัติ

5.พอร์ตชาร์จและสายไฟในรถต้องรองรับกระแสสูง

ใช้วัสดุทองแดงคุณภาพสูงพร้อมระบบระบายความร้อน

พอร์ตจะเป็นแบบ “MCS (Megawatt Charging System)” ที่ใหญ่กว่า CCS ปกติ

สรุป

เครื่องชาร์จ : ต้องอัปเกรดระบบไฟ แรงดันสูง สายหล่อเย็น ระบบสื่อสารอัจฉริยะ และ Grid Buffer

รถ EV : ต้องมีแพลตฟอร์ม 1000V+, แบต 4C+, ระบบระบายความร้อนสุดล้ำ และ BMS อัจฉริยะ

ผู้ใช้ : จาก “รอชาร์จครึ่ง ชม.” เปลี่ยนเป็น “พักจิบกาแฟ 5 นาที” เทียบเท่าการเติมน้ำมัน

หมายเหตุ : กองบรรณาธิการ EV-ROADS ครีเอทคอนเทนต์นี้ร่วมกับ ChatGPT

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้