Last updated: 20 Aug 2023 | 871 Views |
“เรนจ์ โรเวอร์” เริ่มเจาะตลาดรถขับเคลื่อนสี่ล้อระดับหรูเมืองไทยอีกครั้ง คราวนี้มาในเวอร์ชั่นปลั๊ก-อิน ไฮบริด รุ่น Dynamic SE Plug-In Hybrid 510PS เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 6 สูบ 3.0 ลิตร กำลังสูงสุด 510 แรงม้า โหมดไฟฟ้าใช้แบตเตอรี่ความจุ 38.2 kWh มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังแรง 105 kW ขับขี่ด้วยระบบเบนซินผสมไฟฟ้าได้ไกล 740 กม. ถ้าวิ่งในโหมดไฟฟ้าล้วนๆ วิ่งได้ไกลสุด 113 กม.
อินช์เคป ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเปิดราคามาที่ 8,599,000 บาท มีเพียง 20 คัน เปิดให้จองออนไลน์กันได้แล้ว
ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) เบนซิน+ไฟฟ้า ของ The New Range Rover Sport รุ่น Dynamic SE Plug-In Hybrid 510PS เป็นเครื่องยนต์เบนซิน Ingenium 6 สูบ 3.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 510 แรงม้า ส่วนระบบไฟฟ้าใช้แบตเตอรี่ความจุ 38.2 kWh ผสมผสานเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังแรง 105kW ระบบเกียร์อัตโนมัติ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 5.4 วินาที การขับขี่ด้วยระบบเบนซินผสมผสานกับไฟฟ้าได้ระยะทางสูงสุดรวม 740 กม. ส่วนระยะทางการขับขี่ด้วยไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 113 กม. มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 18 กรัม/กม.
ดีไซน์ภายนอกยังคง DNA ความเรียบหรูดูดีของเรนจ์ โรเวอร์ไว้ทุกประการ การออกแบบยังเน้นความหรูหราแต่เรียบง่าย ตัวถังออกแบบด้วยลายเส้นที่ดูสะอาดตา มือจับประตูถูกออกแบบให้เรียบเรียนไปกับตัวถัง พร้อมหลังคาที่เชืื่อมเข้ากับโครงสร้างด้วยเลเซอร์ แสดงให้เห็นถึงความแม่นยำทางเทคนิคและการผสมผสานรายละเอียดที่ซับซ้อนเข้ากันอย่างลงตัว ทั้งยังมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานต่ำเพียง 0.29 เท่านั้น
รูปทรงดูโดดเด่นโดยการออกแบบให้มีโอเวอร์แฮงก์ด้านหน้าที่สั้น และกระจกหน้าต่างมีความลาดเอียงที่เหมาะสมทั้งด้านหน้าและด้านหลังของรถ ไฟหน้า LED แบบพิกเซลพร้อมไฟ DRL อันเป็นเอกลักษณ์ ช่วยเพิ่มความโดดเด่นของ Daytime Running Light พร้อมด้วยไฟท้ายแบบ LED แนวนอนดีไซน์ใหม่ที่เชื่อมเข้าหากันด้วยแถบตกแต่งสีดำประดับด้วยตัวอักษร RANGE ROVER – ล้อแบบ 5126 ขนาด 21 นิ้ว
ไฟหน้า LED แบบดิจิทัลพร้อมไฟส่องสว่างสำหรับขับขี่เวลากลางวันอันเป็นเอกลักษณ์ให้ทัศนวิสัยเฉียบคมในการขับขี่ยามกลางคืน โดยมีระยะสูงสุด 500 ม. ไฟหน้าแต่ละดวงประกอบด้วยอุปกรณ์กระจกขนาดเล็กแบบดิจิทัล 1.3 ล้านชิ้น ซึ่งปรับลำแสงให้บังวัตถุสูงสุด 16 ชิ้น เป็นการปรับแสงให้เหมาะสมที่สุดและลดความเสี่ยงที่จะทำให้ผู้ใช้ถนนคนอื่นตาพร่ามัวให้น้อยที่สุด
การตกแต่งภายในแบบใหม่ทั้งหมด ด้วยเทคโนโลยี Range Rover Command Driving Position ห้องโดยสารที่ดูเหมือนห้องนักบินสร้างประสบการณ์ในการขับขี่แบบไดนามิกด้วยทัศนวิสัยที่ยอดเยี่ยม ในขณะเดียวกันก็สร้างความท้าทายให้ผู้ขับขี่ด้วยคอนโซลกลางที่ลาดเอียงในแนวสูงและเทคโนโลยีที่ทำให้ทุกการขับขี่ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น
ระบบอินโฟเทนเมนท์ Pivi Pro หน้าจอสัมผัสแบบโค้ง และมีความละเอียดสูงขนาด 13.1 นิ้ว สามารถควบคุมทุกการใช้งาน ตั้งแต่การนำทางไปจนถึงการตั้งค่าสื่อและยานพาหนะ ระบบจะเรียนรู้พฤติกรรมของผู้ขับขี่และมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดีเยี่ยม เป็นเสมือนผู้ช่วยส่วนตัวที่รอบรู้และใช้งานได้ง่าย ช่วยลดความจำเป็นที่ผู้ขับขี่จะต้องละสายตาจากถนน
ขณะเดียวกันก็สามารถเพลินเพลินกับระบบเสียงอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Meridian ที่ทรงพลัง เล่นเพลงด้วยความเที่ยงตรงสูงด้วยลำโพงมากถึง 29 ตัว ซับวูฟเฟอร์หนึ่งตัว และกำลังเครื่องขยายเสียง 1,430 วัตต์ เป็นหนึ่งในประสบการณ์เครื่องเสียงรถยนต์ที่ประณีตที่สุดสำหรับผู้โดยสาร 4 คน
ขณะเดียวกันเรนจ์ โรเวอร์ ก็ใส่ใจเรื่องสุขภาพ โดยใส่ระบบฟอกอากาศในห้องโดยสาร Cabin Air Purification Pro ช่วยกรองฝุ่น PM 2.5 และเทคโนโลยี nanoe™ X ลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ แบคทีเรีย และสารก่อภูมิแพ้ รวมถึงไวรัส SARS-CoV-2 ในขณะที่อุปกรณ์ nanoeTM X ตัวที่สองได้รับการติดตั้งไว้ในบริเวณแถวที่สองเพื่อให้คุณภาพอากาศที่สม่ำเสมอทั่วทั้งห้องโดยสาร และฟังก์ชันการจัดการคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ภายในห้องโดยสารก่อนการเดินทางหรือแม้ขณะขับรถ ทำให้มั่นใจได้ถึงการตื่นตัวที่เพิ่มมากขึ้นในทุกการขับขี่ และสุขภาพที่ดียิ่งขึ้นสำหรับผู้โดยสารทุกคน
นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูงรุ่นล่าสุดที่เรียกว่า Advanced Driver Assistance Systems (ADAS) ที่เน้นไปที่ความปลอดภัยในการขับขี่ ระบบเบรกฉุกเฉิน กล้อง 3D รอบทิศทาง รวมถึงเซ็นเซอร์จอดรถด้านหน้าและด้านหลัง ระบบ Wade Sensing ระบบ ClearSight Ground View4 และไฟเลี้ยวที่มีระบบควบคุมการขับขี่อัตโนมัติ ระบบตรวจสอบสภาพคนขับ ระบบช่วยเหลือการขับขี่ในเลน และระบบจดจำป้ายจราจร
ระบบช่วงล่างของเรนจ์ โรเวอร์ สปอร์ต ใหม่ ใช้เทคโนโลยีของแชสซียานยนต์ที่ล้ำหน้ากว่าที่เคยมีมา ความแข็งแกร่งของสถาปัตยกรรมโลหะผสมที่มีความยืดหยุ่น MLA-Flex ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งในการบิดได้สูงกว่า Range Rover Sport รุ่นก่อนหน้านี้ถึง 35% ระบบ Dynamic Response Pro ทำงานควบคู่กับระบบ Dynamic Air Suspension เจนเนอเรชั่นล่าสุด ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวสปริงลมแบบปรับระดับได้เป็นครั้งแรก ให้การควบคุมการหมุนขั้นสูงสุดผ่านระบบควบคุมการหมุนด้วยพลังงานแอคทีฟอิเล็กทรอนิกส์ 48 โวลต์ ซึ่งสามารถใช้แรงบิดได้สูงสุดถึง 1,400 Nm ในแต่ละเพลา เพื่อสร้างประสบการณ์การขับขี่อย่างมั่นใจ รวมไปถึงการควบคุมตัวถังและความนุ่มนวลในการเข้าโค้งที่เหนือระดับ
ระบบ Dynamic Air Suspension ได้รับการติดตั้งใน Range Rover Sport ทุกคัน โดยระบบนี้ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับระบบกันสะเทือน ด้วยการปรับแรงดันของกระบอกโช้คให้สอดคล้องกับพื้นผิวถนน และความลาดชัน เพื่อมอบความสะดวกสบายที่เป็นต้นแบบของ Range Rover
รถปลั๊ก-อิน ไฮบริดรุ่นนี้ยังมีระบบตรวจสอบทิศทางของถนนข้างหน้า โดยใช้ระบบข้อมูลการนำทางที่เรียกว่า eHorizon เพื่อทำงานให้สอดคล้องกับระบบช่วงล่าง ที่ต้องปรับสภาพให้เป็นไปตามข้อมูลล่วงหน้าที่ได้รับจากระบบ หรือเมื่อต้องเข้าโค้งในระยะที่ใกล้เข้ามา เทคโนโลยี Adaptive Dynamics ช่วยเพิ่มความสามารถแบบไดนามิกด้วยการควบคุมอย่างต่อเนื่องของระบบ Active Twin Valve Dampers เพื่อช่วยลดการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นของร่างกายผู้ขับขี่ ระบบนี้ยังสามารถตรวจสอบปัจจัยภายนอกได้สูงถึง 500 ครั้งต่อวินาที เพื่อให้การตอบสนองที่สมบูรณ์แบบและสอดคล้องกับเทคโนโลยีอื่นๆของแชสซี อีกทั้งยังเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ได้อย่างแม่นยำและลงตัว
ความคล่องตัวในการเข้าโค้งของ Range Rover Sport ยังช่วยยกระดับการขับขี่ไปอีกขั้นด้วยระบบ All-Wheel Steering ระบบ Torque Vectoring by Braking และระบบ Electronic Active Differential ซึ่งเป็นระบบบังคับเลี้ยวขั้นสูง ระบบ All-Wheel Steering ช่วยให้การบังคับเลี้ยวของล้อหลังทำมุมตรงกันข้ามกับล้อหน้า ได้สูงสุดถึง 7.3 องศา เพื่อลดวงเลี้ยวให้แคบลงในความเร็วต่ำและทำมุมขนานกับล้อหน้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าโค้งในช่วงเวลาที่ขับขี่ด้วยความเร็วสูง ระบบนี้ทำให้ Range Rover Sport โฉมใหม่สามารถสร้างวงเลี้ยวได้ไม่ต่างจากรถประเภทแฮทช์แบค และมีความคล่องตัวบนท้องถนนเสมือนรถยนต์ขนาดเล็ก
ระบบแชสซียานยนต์ที่ดีที่สุดของ Range Rover Sport โฉมใหม่ยังรวมไว้ซึ่งระบบ Dynamic Response Pro ระบบ All-Wheel Steering ระบบ Electronic Active Differential และระบบ Torque Vectoring by Braking ที่จะสร้างความประทับใจในการขับขี่ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่บนท้องถนนที่มีสภาพพื้นผิวปกติหรือบนเส้นทางแบบออฟโรดที่ยากลำบาก
ระบบ Terrain Response 2® ล่าสุดของ Land Rover ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่แบบออฟโรดโดยใช้วิธีการตั้งค่าที่เหมาะสมที่สุดเพื่อการขับขี่ในสภาพภูมิประเทศที่มีความแตกต่างได้อย่างชาญฉลาด ระบบ New Adaptive Off-Road Cruise Control ได้รับการเปิดตัวครั้งแรกกับ Range Rover Sport โฉมใหม่ ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่ท่องไปในสภาพภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยความยากลำบากได้อย่างราบรื่น และยังคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพในการขับขี่ที่สมบูรณ์แบบแม้สภาพพื้นผิวถนนจะมีความแตกต่าง
เปิดราคามาอยู่ที่ 8,599,000 บาท พร้อม Range Rover Care บริการบำรุงรักษาตามระยะ และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมง 5 ปี